เชื่อแน่ว่านักอ่านแต่ละท่านก็ย่อมจะมีนักเขียนในดวงใจหลากหลายนามปากกาที่แตกต่างกันไป อีกทั้งผลงานที่เป็นชิ้นสุดยอดโบแดงของนักเขียนในดวงใจที่ว่านั้น ก็ย่อมจะแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน ในกรณีของ “เจริญ มาลาโรจน์” — นักเขียนนามอุโฆษแห่งล้านนา เจ้าของนามปากกา “มาลา คำจันทร์” ก็เช่นกัน นักอ่านหลายท่านอาจจะรู้จักเขาจากเรื่องสั้น เจ้าที่ ซึ่งได้รับรางวัลช่อการะเกดจากนิตยสารถนนหนังสือในปี 2521 ผลงานเรื่อง เขี้ยวเสือไฟ หุบเขากินคน แมวน้อยตกปลา และ ฝีกว้างเท่าปากบ่อ ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่น จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประจำปี 2532 ประจำปี 2533 ประจำปี 2534 และประจำปี 2535 ตามลำดับ นวนิยายเรื่องเยี่ยมคือ เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน ที่คว้ารางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2534 ไปครองได้เป็นผลสำเร็จ ผลงานชุด ไฟพรางเทียน ซึ่งได้รับรางวัลชมเชย รวมเรื่องสั้นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2535 หรืออาจจะเป็นนวนิยายเรื่องยาวอย่าง ธนูสายฟ้า ซึ่งได้รับรางวัลนวนิยายรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 7 ประจำปี 2553 (ในปีนั้นนวนิยายเรื่อง เสือเพลินกรง ของ ผาด พาสิกรณ์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ และนวนิยายเรื่อง บุพเพสันนิวาส ของ รอมแพง ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2) แต่สำหรับผู้เขียนบทความ ผลงานที่ถือว่าเป็นเพชรน้ำเอกของ มาลา คำจันทร์ คือ เรื่องเล่าจากดงลึก งานเขียนชิ้นสำคัญอีกเล่มหนึ่งของ มาลา คำจันทร์ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มออกมาหลายต่อหลายครั้งติดต่อกันในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ในยุคแรกเริ่มโดยสำนักพิมพ์มติชนจนมาถึงสำนักพิมพ์เคล็ดไทย หากแต่ก็ยังถือว่าเป็นหนังสือที่ขาดตลาดหาอ่านยากคือ “เรื่องเล่าจากดงลึก” เรื่องเล่าจากดงลึก เป็นเรื่องราวจากคำบอกเล่า ที่จะจัดว่าเป็นสารคดีบอกเล่าประสบการณ์ก็ได้ เป็นชุดรวมเรื่องสั้นก็ดี หรือจะจัดให้เป็นนวนิยายขนาดสั้นเล่มหนึ่งก็ได้อีกเช่นกัน เรื่องราวทั้งหมดใน “เรื่องเล่าจากดงลึก” ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ มีความยาวติดต่อกันถึง 24 ตอน หากแต่ในการนำมาพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชนในปี 2538 ผู้เขียนได้นำมารวบทอนให้เหลือเพียง 20 ตอนเท่านั้น โดยเรียบเรียงตามลำดับ คือ ก่อนจะถึงเรื่องเล่า ไทยอพยพ ขุนทึงกึ่งพุทธกาล ตำนานรักบนฝั่งปิง พรานเฒ่าเก้ากึ่ง ครูดอยกับผี ผีดี-ผีร้าย นางถ้ำ ตนบุญ ไพรบัง กินก่อนทาน-มานก่อนแต่ง หอกล้มช้าง กระสือแม่ลูกอ่อน ผีกะ พรายทับฯ ผีนางด้ง กองไฟในคืนเปลี่ยว จะปุผู้สาบสูญ พ่อลูกผูกพัน และ บทสุดท้ายของเรื่องเล่า “ดงลึก” เป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในดงลึกสมชื่อ ซึ่งผู้เล่าเรื่องที่ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผม” ไม่ได้ระบุพิกัดเจาะจงลงไปอย่างแน่ชัด หากแต่ผู้อ่านก็ยังพอจะคาดคะเนได้ว่า ‘เรื่องเล่า’ ใน ‘เรื่องเล่า’ หลากหลาย ‘เรื่องเล่า’ ซึ่งปรากฏอยู่ใน เรื่องเล่าจากดงลึก เล่มนี้ น่าจะเกิดขึ้นในแถบทางเหนือของไทยเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดน่าน (อาจมีข้ามไปฝั่งพม่าและลาวบ้าง) ถึงแม้ว่า เรื่องเล่าจากดงลึก จะเป็นงานเขียนในลักษณะของเรื่องราวจากคำบอกเล่า แต่ มาลา คำจันทร์ ซึ่งเป็นผู้เขียนก็ได้สร้างตัวละครหลักขึ้นมาถ่ายทอด ‘เรื่องเล่า’ เหล่านี้ให้ออกมาสู่สายตาผู้อ่านได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม คล้ายกับว่าเป็นนวนิยายหรือรวมเรื่องสั้นชุดหนึ่ง ๆ โดยตัวละครสำคัญดังกล่าวนั้นก็คือ “ผม” — ครูดอยคนหนึ่งที่จำเป็นต้องเดินทางผ่านหมู่บ้านดงลึกเป็นประจำ และ “พ่อเฒ่าเลาแสง” — อดีตพรานป่ามือฉมังอายุราว 82 ปี (ในปี พ.ศ. 2522) ผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าเกือบทั้งหมดใน เรื่องเล่าจากดงลึกคือ เพชรน้ำเอก ของ “มาลา คำจันทร์” หาก “เพชรพระอุมา” และ “ศิวาราตรี” คือ พนมเทียน แล้วล่ะก็ “เรื่องเล่าจากดงลึก” ก็ย่อมคือ มาลา คำจันทร์ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตลอดระยะเวลาเกินกว่า 4 ทศวรรษบนถนนนักเขียนของ มาลา คำจันทร์ ก็ดูเหมือนว่าผลงานวรรณกรรมแต่ละเรื่องแต่ละเล่มของเขา ล้วนแล้วแต่แตกเหง้าเหล่ากอออกมาจาก ‘เรื่องเล่า’ จาก ‘ดงลึก’ ที่กล่าวมานี้แทบทั้งสิ้น หรือจะเรียกได้ว่า “เรื่องเล่าจากดงลึก” เป็นน้ำหัวเชื้อในการผลิตงานเขียนเรื่องอื่น ๆ ของเขาก็ดูจะไม่ผิดนัก เพราะหากเราเคยอ่านผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ มาลา คำจันทร์ มาแล้ว และมีโอกาสได้อ่านได้ฟัง “เรื่องเล่าจากดงลึก” จนจบเรื่อง เราก็อาจจะเห็นเงาลาง ๆ ของ ‘เรื่องเล่า’ จาก ‘ดงลึก’ ปรากฏอยู่ในผลงานเล่มอื่น ๆ ของเขาเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการเดินทางของพ่อเฒ่าเลาแสง และ อินทา จากผลงานในยุคหลัง ๆ มานี้อย่าง เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก หรือเรื่องราวของความเชื่อ เสือเย็น เสือไฟ วัฒนธรรม ประเพณี ผี ไพร พระ และปาฏิหาริย์ท่ามกลางป่าดงพงพีอย่างผลงานในยุคก่อนหน้านี้ของเขา อาทิ นางถ้ำ เด็กบ้านดอย ลูกข้าวนึ่ง นกแอ่นฟ้า เมืองลับแล วิถีคนกล้า หุบเขากินคน เขี้ยวเสือไฟ ดาบอุปราช บ้านไร่ชายดง ดาบราชบุตร คีตาลาวุ สร้อยสุคันธา หรือแม้กระทั่ง เล่าเรื่องผีล้านนา นอกจากลีลาของการเล่าเรื่อง และภาษาอันเปี่ยมล้นด้วยกระบวนการทางวรรณศิลป์สมกับเป็นนักเขียนระดับศิลปินแห่งชาติแล้ว ความเป็นเอกอันจะเว้นกล่าวเสียไม่ได้ใน “เรื่องเล่าจากดงลึก” ก็คือ ข้อมูลที่ค่อนข้าง ‘ลึก’ และ ‘หาฟัง’ ยาก เพราะถ้าจะให้หาอ่านงานวรรณกรรมที่มีกลิ่นอายล้านนาท่ามกลางสรรพสันของดอกไม้ป่ายุคกึ่งพุทธกาลแล้วล่ะก็ หากยกเอาชื่อของ ส.ธรรมยศ วรมิฏฐ์ วีระเศรษฐ์ อ.ไชยวรรศิลป์ และ ลพบุรี ออกวางขึ้นหิ้งไว้เสีย ก็คงไม่มีนักเขียนร่วมสมัยท่านใดทำได้ดีเกินกว่า มาลา คำจันทร์ อีกแล้ว เรื่องที่ผู้เขียนบทความชื่นชอบเป็นพิเศษใน “เรื่องเล่าจากดงลึก” คือบทท้าย ๆ เล่มที่มีชื่อเรื่องว่า จะปุ ผู้สาบสูญ อันว่าด้วยเรื่องราวของเผ่า “ว้า” — ผู้นิยมล่าหัวคน และ “จะปุ” — ชนเผ่าโบราณลึกลับเกือบ 1,000-2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่เห็นมีเอกสารฉบับใด ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทั้งในฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือเอกสารภาษาพื้นเมือง กล่าวถึงพวก “จะปุ” อีกเลย คงเหลือทิ้งไว้แต่ทำนองเพลงซอ จะปุ – ละม้ายจะปุ ให้คนรุ่นหลังได้ยินได้ฟังเท่านั้น เหมือนกับจะเป็น ‘สัญญะ’ ที่พวกเขาได้ทิ้งเอาไว้เพื่อให้เราทราบว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคย “มี-อยู่” และเป็นการมีอยู่ให้ได้พบได้เห็นในช่วงเวลาไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง...ในดงลึกภาพประกอบ โดย ผู้เขียนบทความ