วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของสมุนไพรที่ใครหลาย ๆคนรู้จักกันมานานแสนนาน แต่มีน้อยคนหนักที่จะรู้ว่าสมุนไพรพวกนี้กินแล้วทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้บางคนไปโรงพยาบาลได้ยาที่คุณหมอให้มาแต่กินแล้วไม่หาย แต่กลับหายไปกลับพวกสมุนไพรใกล้ตัว ทั้งดีและมีประโยชน์ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแถมยังทานควบคู่กับยาโรงพยาบาลได้เลย อีกอย่างก็ยังหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามท้องตลาดทั่วไป วันนี้ก็จะมาพูดในเรื่องของสมุนไพรที่หลาย ๆ คนคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ จะเป็นอะไรบ้างนั้นลองไปกันเลยจ้า 1. กล้วยน้ำวา ในกล้วยน้ำวาโดยในกล้วยนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่อร่างกายหลากชนิด ได้แก่ วิตามินบี 6 วิตามินซี แมงกานีส โพแทสเซียม และเส้นใยอาหาร มีสารแบต้าแคโรทีน ไนอาซีนและใยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องตัว คุณค่าทางโภชนาการของกล้วย ลดระดับคอเลสเตอรอล การควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้สูงเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน ลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วนที่แนะนำกันมากในอินเทอร์เน็ตก็คือการรับประทานกล้วยแทนมื้ออาหาร โดยเชื่อว่ากล้วยนั้นช่วยให้อิ่มท้อง ให้พลังงานต่อร่างกายได้อย่างดี ควบคุมระดับความดันโลหิต อาหารที่มีเส้นใยอาหารนั้นสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกล้วย นอกจากนี้ก็ยังเชื่อว่าสารโพแทสเซียมที่พบในกล้วยจะช่วยให้ร่างกายขับโซเดียมออกมาทางปัสสาวะได้มากขึ้น ท้องเสีย เชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพท้อง เพราะคาร์โบไฮเดรตจากกล้วยที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้นั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเหล่าจุลินทรีย์โปรไบโอติกซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีที่พบในลำไส้ ช่วยให้จุลินทรีย์ชนิดนี้เพิ่มจำนวนขึ้น ท้องอืด นอกจากอาการท้องเสีย สรรพคุณบรรเทาอาการท้องอืดโดยใช้กล้วยก็มีให้ได้ยิน และด้วยเหตุผลเดียวกันกับการรักษาท้องเสีย คือในกล้วยมีคาร์โบไฮเดรตสำคัญที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะกลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์พรีไบโอติก อาการท้องผูก การรับประทานกล้วยสุกช่วยบรรเทาอาการท้องผูกเป็นเคล็ดลับที่หลายคนคงเคยได้ยินกันมาบ้าง คาดว่าอาจเป็นเพราะจุลินทรีย์โปรไบโอติกที่เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดียวกันกับอาการท้องเสียและท้องอืดข้างต้นที่ทำให้ร่างกายมีการขับถ่ายได้ดียิ่งขึ้น เสริมพลังงานขณะออกกำลังกาย ประโยชน์ของกล้วยในด้านนี้ มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่าการรับประทานกล้วยหรือการดื่มเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรตความเข้มข้น 6% ประโยชน์ของกล้วยต่อผิวพรรณ รักษาสิว มีการแนะนำให้ใช้เปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่เกิดสิวอักเสบ ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออกด้วยน้ำ ซึ่งการทำงานของเปลือกกล้วยกับการลดการอักเสบของสิว บำรุงผิว กล้วยถูกนำมาใช้เพื่อสรรพคุณบำรุงผิวอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะนำมาบดหรือปั่นให้เป็นเนื้อครีมสำหรับพอกผิว มาร์กหน้า หรือใช้เปลือกด้านในถูใบหน้าให้ทั่ว ประโยชน์ของกล้วยต่อสุขภาพปากและฟัน ช่วยให้ฟันขาว สำหรับผู้ที่อยากมีฟันขาวขึ้นจากวิธีธรรมชาติโดยไม่ต้องรับการฟอกสีฟันจากทันตแพทย์ เปลือกกกล้วยเป็นหนึ่งในวัสดุจากธรรมชาติที่มีการบอกต่อกันอย่างแพร่หลายว่าอาจสามารถช่วยทำให้ฟันขาวขึ้น ขจัดกลิ่นปาก สรรพคุณช่วยขจัดกลิ่นปากของกล้วย เป็นที่นิยมจากเคล็ดลับที่แนะนำให้รับประทานกล้วยก่อนแปรงฟันหลังตื่นนอนเป็นประจำนานประมาณ 1 สัปดาห์ โดยเชื่อว่าจะช่วยลดกลิ่นปากได้ แต่ก็เช่นเดียว https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-1212949/ 2. หอมหัวใหญ่ เป็นพืชหัว ปลูกได้ในช่วงฤดูหนาว สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำและอากาศดี เจริญได้ดีที่ค่าความเป็นกรด-เบสช่วง 6.0–6.8 อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 15–24 องศาเซลเซียส ในหอมอยู่ใหญ่และกระเทียมมีวิตามินซีสูง ใครที่ชอบเป็นหวัดบ่อย ๆ ก็ทานสองตัวนี้ได้เลย ประโยชน์ของหอมหะวใหญ่ นำมาสกัดทำเป็นเครื่องสำอางบางชนิด เช่น ยาสระผม ยาบำรุงเส้นผม เนื่องจากมีสารเพกติน กลูโดคินิน และไกลโคไซด์ ที่จะช่วยขจัดรังแคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราต่าง ๆ ได้ กินเป็นประจำช่วยลดความดันโลหิต ลดไขมันโคเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด เป็นยาบำรุงธาตุช่วยขับลม แก้ทอ้งร่วง แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยขับปัสสาวะขับพยาธิ ขับเสมหะ แก้ลมพิษ แก้ปวดบวม ทำให้ไข้หวัดหายเร็วขึ้น บดทาหรือประคบแผล ช่วยให้แผลแห้ง และหายเร็ว รวมถึงลดการติดเชื้อของแผล รักษาแผลเป็นหนอง และลดอาการอักเสบของแผล ช่วยรักษาโรคผิวหนัง เช่น รังแค กลาก ส่วนในตำรายาจีนระบุว่า หอมหัวใหญ่ มี ฤทธิ์อุ่น รสเผ็ด ไม่มีพิษ เข้าเส้นลมปราณ ปอดและกระเพาะอาหาร https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%AA%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5-84722/ 3.ผักตำลึง ที่หลายคนชอบนำเอามาต้มใส่มาม่ากินกัน ตำลึง เป็นไม้เลื้อยที่มีมือจับใช้สำหรับเลื้อยเกาะต้นไม้ใหญ่หรือไม้ปักหลัก มีสีเขียวจัดเป็นสมุนไพรไทย ประโยชน์ของผักตำลึง ก็ยังมีสรรพคุณในการช่วย ลดน้ำตาลในเลือดได้อีกนะเพราะในใบตำลึงมีวิตามินและแร่ธาตุหลาย ๆ ตัวอีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการบำรุงนมแม่ที่มีลูกอ่อน และยังช่วยในเรื่องของแคลเซียมทำให้ฟันและกระดูกแข็งแรง ตำลึงเป็นยาเย็นดับพิษร้อน เถา รสจืดเย็น เป็นยาเย็นดับพิษ แก้ตาช้ำ ปวดตา ใช้ถอนพิษ แก้ฝี แก้โรคตาต่างๆ ใบ มีรสเย็นแก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน แก้โรคผิวหนัง แก้ไข้หวัด ถอนพิษไข้ แก้เริมช่วยย่อยอาหาร แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคตา รักษาเลือดออกตามไรฟัน แก้โลหิตจาง ใบตัวผู้ ใช้ผสมยาเขียว แก้ไข้ แก้พิษจากขนพืชหรือสัตว์ต่างๆ ราก ลดความร้อน แก้ไข้ทุกชนิด แก้พิษ แก้โรคตา ผล แก้เจ็บเส้น ลิ้นเป็นแผล แก้ฝีแดง ทั้งต้น มีรสเย็น แก้โรคผิวหนัง แก้มะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด แก้โรคหัวใจ ตำลึงแก้ดวงตาเป็นฝ้า แก้โรคตา ดับพิษทั้งปวง แก้ไข้ทุกชนิด แก้เบาหวาน ส่วนของต้นใช้กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้นใช้รักษาเบาหวาน ส่วนของใบใช้แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษทั้งปวง แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน และผลใช้แก้ฝีแดง ช่วยกระตุ้นการทำงานของเบต้าเซลล์ในหนูทดลอง และแสดงฤทธิ์ป้องกันการเกิดเบาหวาน ลดไขมันในเลือด ปกป้องตับจากสารพิษ ต้านการอักเสบ แก้ปวด และแก้ไข้ และมีการทดลองในอาสาสมัครระบุว่าใบตำลึงมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดเมื่อทดสอบด้วยวิธี Glucose tolerance test อีกด้วย https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-1140882/ 4.งาดำ ในส่วนของงาดำงาดำเป็นพรรณไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน มีขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรงถึงยอด ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยมสีเขียวเข้มปนม่วง มีร่องตามยาวและมีขนปกคลุม อวบน้ำ สูงประมาณ 0.5-2 เมตร ใบมีลักษณะคล้ายกับใบหญ้างวงช้าง มีขนตลอดทั้งใบ เป็นใบเดี่ยวรูปไข่ หรือรูปหอก ขอบใบเป็นจัก ใบมีสีเขียวอ่อนไปจนถึงเขียวเข้ม บางพันธุ์ใบอาจเป็นสีเหลือง ก้านใบยาว 5 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลุ่มละ 1-3 ดอก ก้านดอกสั้น กลีบรองดอกมี 5 แฉก มีแร่ธาตุและวิตาต่าง ๆ เช่น วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก ช่วยในการบำรุงเส้นผมให้เงางาม แข็งแรง และช่วยรักษาผมร่วงได้เหมือนกัน ประโยชน์ของงาดำ สรรพคุณมากล้ำ รักษาโรคอะไรได้บ้าง บรรเทาอาการปวดข้ออักเสบรูมาตอยด์ การรับประทานงาดำสามารถลดอาการปวดได้ เพราะธาตุทองแดงที่อยู่ในงาดำมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ ทำให้อาการปวดลดลง นอกจากนี้ธาตุทองแดงยังมีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งคอลลาเจนนั้นสำคัญต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ข้อต่อ กระดูกอ่อน และหลอดเลือดให้แข็งแรง บำรุงผิวพรรณและกระดูก เป็นธัญพืชอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งแคลเซียมที่อยู่ในงาดำนั้นมีมากกว่านมถึง 6 เท่า นอกจากนี้ก็ยังมีสังกะสีที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพิ่มมวลกระดูก จึงเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน ขณะที่วิตามินอีที่อยู่ในงาดำก็ยังมีส่วนสำคัญในการบำรุงผิวพรรณให้นุ่มชุ่มชื้น หากรับประทานเป็นประจำรับรองได้เลยว่ากระดูกแข็งแรง ผิวพรรณดี ห่างไกลจากริ้วรอยแห่งวัย ดูเด็กลงได้อีกหลายปีเลย ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด การรับประทานงาดำเข้าไปก็จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรรับประทานงาดำไม่ให้เกินวันละ 10-15 กรัม เพราะงาดำเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานจากไขมันค่อนข้างมากนะคะ บำรุงหัวใจ สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ จึงทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรงขึ้น เพราะเมื่อร่างกายมีระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลง ก็จะส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจสะอาดขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดก็ดีขึ้น ลดความเสี่ยงได้ทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระที่อัดแน่นเต็มเมล็ดงาดำ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้งาดำกลายเป็นอาหารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้ เพราะไฟเบอร์ที่อยู่ในงาดำจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ก็ลดลง นอกจากนี้สารเซซามินที่มีอยู่ในงาดำก็ยังช่วยป้องกันสารอนุมูลอิสระไปทำลายตับ และเมื่อตับสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแล้ว ก็จะไม่มีสารพิษสะสมในร่างกายจนก่อให้เกิดโรคมะเร็งนั่นเอง ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย งาดำก็อุดมไปด้วยไฟเบอร์จำนวนมาก ซึ่งถ้ารับประทานบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น หมดปัญหาเรื่องท้องผูกไปได้เลยล่ะค่ะ บรรเทากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) อาการก่อนมีประจำเดือนถือเป็นปัญหาของคุณสาว ๆ หลายคน เพราะทำให้อารมณ์แปรปรวน หรือเกิดอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว นอนไม่หลับ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต แต่ถ้าอยากจะลดอาการเหล่านี้แนะนำให้รับประทานงาดำค่ะ เพราะงาดำอุดมไปด้วยวิตามินบี แคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี ที่ช่วยลดอาการ PMS ได้เป็นอย่างดี บอกลาอาการต่าง ๆ ก่อนมีประจำเดือนไปได้เลย แก้ผมร่วง บำรุงเส้นผม อุดมไปด้วยไขมันที่ดี ไม่ว่าจะเป็นไขมันโอเมก้า 3, 6 และ 9 ซึ่งล้วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม อีกทั้งช่วยบำรุงให้หนังศีรษะและเส้นผมชุ่มชื้นมีสุขภาพดี ยิ่งถ้าหากใช้น้ำมันงาดำมานวดศีรษะเป็นประจำด้วยละก็ จะยิ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณศีรษะทำให้เส้นผมได้รับแร่ธาตุและวิตามินมากขึ้น ไม่หลุดร่วงและยังดกดำเงางามขึ้นค่ะ ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น แคลเซียมและแมกนีเซียมที่อยู่ในงาดำ มีส่วนสำคัญที่ช่วยบรรเทาความเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ทริปโตเฟน (tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีในงาดำก็ยังเข้าไปช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง บำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ โดยในการศึกษาได้ให้อาสาสมัครที่อยู่ในกลุ่มสูงวัยรับประทานสารสกัดจากงาดำแบบแคปซูลปริมาณ 500 มิลลิกรัม บำรุงสายตา การนำงาดำมาใช้ในแพทย์แผนจีนเพื่อบำรุงสายตาและตับไปพร้อม ๆ กัน เมื่อตับมีสุขภาพดี ดวงตาก็จะชุ่มชื้นและใสปิ๊ง หมดปัญหาสุขภาพตาไปได้เลย https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-3438668/ 5. แปะก๊วย เป็นสมุนไพรที่มีค้นกำเนิดมาจากจีน ทางการแพทย์ของจีนได้นำแปะก๊วย มาช่วยรักษาอาการไอและหอบหืด ซึ่งมีวิตามินและแร่ธาตุสูงอยู่หลายตัว ประโยชน์ของแป๊ะก๊วย แหล่งต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่มีใน ใบแปะก๊วย แปะก๊วยถูกสกัดออกมาด้วยตัวทำละลาย จะได้สารสกัดไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) เจ้าสารสกัดตัวนี้ จะช่วยต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ช่วยให้ป้องกันการก่อมะเร็งได้ส่วนหนึ่ง รวมถึงช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ดวงตา ช่วยชะลอการเสื่อมของดวงตา ช่วยให้ประสาทตาสามารถทำงานมองเห็นภาพได้เป็นปกติ เห็นสีชัดเจน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน อาจช่วยป้องกันอาการที่คนทั่วไปเรียกว่า เบาหวานขึ้นตา ใบแปะก๊วย ฟูลคอร์สอาหารสมองชั้นเลิศ ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับสมองทั้งหลาย เช่น ป้องกันสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ ทั้งยังช่วยให้ระบบเกี่ยวกับความจำสามารถทำงานได้ปกติดี สามารถจดจำได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการวิตกกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ทานจะรู้สึกมีสมาธิมากขึ้น และสามารถคิดเรื่องต่าง ๆ หรือคำนวณได้ค่อนข้างรวดเร็วขึ้น ลดอาการวิงเวียนศีรษะ และการทรงตัว ลดอาการบ้านหมุน โรคซึมเศร้า และโรคเกี่ยวกับจิตใจที่ไม่ควรมองข้ามกับใบแปะก๊วย สารสกัดจากแปะก๊วยอาจไม่สามารถทำหน้าที่แทนยารักษาอาการได้ แต่หากรับประทานควบคู่กับยาที่ใช้เพื่อรักษาอาการโดยตรง จะยิ่งทำให้มีอาการดีขึ้นได้ไวมากขึ้น อีกทั้งลดอาการที่อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาได้อีกด้วย ประโยชน์ใบแปะก๊วย กับเรื่องเฉพาะของแต่ละเพศ ใบแปะก๊วยจะช่วยลดอาการปวดท้องมีประจำเดือน โดยการกินสารสกัดจากใบแปะก๊วยหลังจากมีประจำเดือนวันแรก จนถึงวันที่ 5 หลังมีประจำเดือน จะสามารถช่วยลดอาการคัดหรือเจ็บหน้าอก และอาการอื่น ๆ ที่มีขึ้นขณะเป็นประจำเดือนได้ โรคอื่น ๆ ใบแปะก๊วยก็ช่วยเป็นฮีโร่ได้อย่างเหลือเชื่อ ช่วยบรรเทาอาการจากโรคเรเนาด์ (Raynaud’s disease) โดยโรคดังกล่าวจะเกิดภาวะหดตัวที่หลอดเลือดในบริเวณอวัยวะส่วนปลายของร่างกาย เช่น แขน ขา มือ เท้า ฯลฯ เมื่อเลือดไม่สามารถไปไหลเวียนได้เป็นปกติก็จะทำให้เกิดอาการชา หากรับประทานใบแปะก๊วยก็จะทำให้เลือดสามารถไหลเวียนเป็นปกติได้ดีขึ้น หลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็ง การกินสารสกัดจากใบแปะก๊วยสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงต่าง ๆ จากการฉายรังสีได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน ฯลฯ ในส่วนของโรคด่างขาวมีบางแหล่งบอกว่า สามารถช่วยลดการกระจาย และขนาดของด่างขาวที่เกิดขึ้นตามผิวหนังได้ https://pixabay.com/th/photos/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-gingko-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-2890516/ 6.ข่า เป็นพืชที่มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า "เหง้า" อยู่ในวงศ์ขิง เป็นไม้ล้มลุก เป็นพืชสมุนไพรที่นำมาใช้ในการประกอบอาหาร เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางยามากมาย สามารถนำมารักษาได้หลายโรคเช่น ช่วยในนการย่อยอาหาร แก้ลมพิษ และยังรักษาโรคกลาก เกลื้อนได้อีก ประโยชน์ของข่า ดีต่อระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์อย่างซิเนออล (Cineole) การบูร และยูจีนอล ที่ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากเหง้าข่าก็ช่วยขับลมได้ดี นอกจากนี้สารบางชนิดในข่ายังช่วยยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อจุลชีพที่จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงได้ ช่วยในการย่อยอาหาร สารยูจีนอล (Eugenol) จากเหง้าข่ามีฤทธิ์ขับน้ำดี จึงช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ลดอาการแน่นจุกเสียด ท้องอืดท้องเฟ้อ มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป โดยกระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้เหง้าข่าสด 5 กรัม หรือเหง้าแห้ง 2 กรัม ไปต้มกับน้ำจนเดือด แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม อีกวิธีหนึ่งคือใช้เหง้าแก่สดๆ ที่มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว ตำให้ละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส 2 แก้ว นำมาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหาร วันละ 3 เวลา วิธีนี้ยังช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการปวดบิด ปวดมวนท้อง และท้องเดินได้อีกด้วย รักษาโรคกลาก เกลื้อน โดยนำสารสกัดข่าด้วยน้ำกลั่น เมทานอล ไดคลอโรมีเทน เฮกเซน หรือแอลกอฮอล์มาใช้ พบว่าล้วนสามารถฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลากเกลื้อนได้ แก้ลมพิษ ให้นำเหง้าแก่สด ๆ 1 แง่ง ตำให้ละเอียด แล้วนำเหล้าขาวมาผสมให้พอแฉะ ผสมกันทิ้งไว้ 1-2 คืน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ (ทั้งเนื้อและน้ำ) มาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ ทาบ่อยๆ ทุกเช้าเย็น จนกว่าอาการจะดีขึ้น และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดลมพิษตามผิวหนังไปพร้อม ๆ กัน แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ข่ามีสรรพคุณในการช่วยรักษาโรคผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคกลากเกลื้อน ผื่นคัน หรือลมพิษ ซึ่งก็รวมไปถึงสรรพคุณในการลดอาการปวดบวมจากแมลงกัดต่อย โดยให้นำเหง้ามาฝนกับน้ำมะนาว แล้วนำไปทาบริเวณที่ถูกกัดต่อย แต่หากรู้สึกแสบร้อนตอนทาให้หยุดใช้ทันที แล้วรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพราะนั่นอาจเป็นอาการแพ้ข่า หากยังใช้ต่อไปจะทำให้เกิดผื่นแพ้หรืออาการอื่น ๆ ตามมาได้ https://pixabay.com/th/photos/galangal-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7-3270069/