สวัสดีค่ะทุกคน!!! บัวขอเปิดฉากมาด้วยสับปะรดภูแลของดีเมืองเชียงราย ที่เฉิดฉายความน่าอร่อยอยู่หน้าป้ายมูลนิธินะคะ Welcome to...มูลนิธิกระจกเงาเชียงรายค่ะทุกคน แท่น แถ่น(ปล. หากมาฝึกงานที่นี่ เราจะได้กินผลหมากรากไม้ทุกวันที่โรงอาหาร เช่น แตงโม มะม่วง และบางวันจะมีสเปเชียลเพิ่มเติมมาอีกค่ะ อย่างสับปะรดภูแลในภาพนี้ ฮ่า ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีกล้วยที่ยกมาเป็นเครืออีกด้วย โห อะเมซิ่ง)ตอนนี้ทุกคนอาจจะกำลังสงสัยว่าเด็กโลจิสติกส์ มาฝึกงานที่มูลนิธิมันมีความเกี่ยวเนื่องยังไงกัน คืออย่างงี้ค่ะทุกคน เรื่องมันมีอยู่ว่า บัวเนี่ยเป็นนิสิตชั้นปีที่ 4 เรียนอยู่คณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกแห่งหนึ่งที่ติดทะเล แฮร่ บัวมีความคิดเกี่ยวกับการก้าวออกจาก Comfort Zone และการคิดนอกกรอบ บัวก็เลยอยากทำอะไรที่มันแหวก มันแปลก แต่มันเข้ากันได้ งงมั้ยคะ ฮ่า ๆ จริง ๆ ทุก ๆ อย่างรอบตัวเรา มันนำมาโยงจนเกี่ยวข้องกันได้หมด อารมณ์แบบสร้างโจทย์ GAT เชื่อมโยงขึ้นมาเอง แล้วลงมือทำซะเอง ผลลัพธ์เลยออกมาเป็นประสบการณ์ที่บัวอยากจะมาเล่าให้ทุกคนฟังในวันนี้ค่ะที่มูลนิธิกระจกเงาจังหวัดเชียงราย เปิดรับนักศึกษาฝึกงานทุกปีเลยค่ะ โดยมีหลากหลายโครงการให้เลือกเข้ามาฝึกตามความสนใจของเรา (ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bannok.themirrorfoundation.org/ นะคะ) ซึ่งโครงการที่บัวสมัครไปคือ นักศึกษาฝึกงานสังกัดโครงการส่งเสริมอาชีพร้านอีบ้านนอก และนี่คือสถานที่ทำงานหลัก ๆ ของบัวค่ะ "ร้านอีบ้านนอก" แต่ตลอดระยะเวลา 4 เดือน (มกราคม - เมษายน) พวกเรานักศึกษาฝึกงานไม่ได้ประจำอยู่แค่โครงการตัวเองเท่านั้น แต่จะมีการมาร่วมงานในงานส่วนกลางของมูลนิธิด้วย นอกจากนี้ นักศึกษาฝึกงานทุกรุ่นจะได้ทำโครงการของสิงห์อาสาอีกด้วยนะคะ น่าสนุกมาก ๆ เลยใช่ม้า ไปท่องโลกกว้างในการฝึกงานพร้อม ๆ กันเลยค่ะทุกคนด้วยความที่นักศึกษาฝึกงานที่มาฝึกงานช่วงนี้ จะได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมวันเด็ก ให้กับเด็ก ๆ ในละแวกนี้ค่ะ ดังนั้น ชื่อรุ่นของพวกเรา จึงมีชื่อว่า "นักศึกษาฝึกงานรุ่นมหกรรมวันเด็ก" ก่อนจะถึงการจัดเตรียมงานจะมีการนัดประชุมแบ่งงานกัน และสิ่งที่ต้องจัดการหลัก ๆ คือ ของขวัญสำหรับน้อง ๆ ค่ะ และบัวเลือกที่จะมาอยู่โซนการแพ็คของขวัญเป็นพวง และเคลื่อนย้ายพวงของขวัญไปสู่คลังของขวัญ โอ้วววว เป็นไงคะ แค่ช่วงแรกก็มีโลจิสติกส์เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว มีการไหลตั้งแต่ของขวัญมาถึงจุดคัดแยก แพ็ค และขนย้าย สุด ๆ ไปเลยยยยย เห็นมั้ยคะ อะไรก็จับมาเชื่อมโยงกันได้ อิอิ จนถึงวันงานบัวก็ได้ไปอยู่จุดแจกขนม นม และผลไม้ให้กับน้อง ๆ ค่ะภาพที่ถ่ายได้จากมุมนี้ อาจจะไม่ใช่ภาพที่สวยที่สุด แต่กลับเป็นภาพที่ดูแล้วให้ความอบอุ่นที่สุด พวกเราทุกคนนัดกันตอนตี 4 เพื่อมาจัดเตรียมงาน ยอมรับว่าเหนื่อยมากนะคะ แต่วันเด็กปีนี้เป็นวันเด็กที่บัวรู้สึกว่ามีความหมายมากที่สุด เมื่อเทียบกับวันเด็กที่บัวเคยไปร่วมตอนเด็ก ๆ เพราะครั้งนี้บัวมีฐานะเป็นผู้ให้หลังจากกิจกรรมวันเด็กพวกเราก็เริ่มเข้าโครงการกันอย่างจริงจังค่ะ และต้องเริ่มทำวิจัยที่เป็นโปรเจคจบกันอย่างจริงจังเช่นกัน ด้วยความที่การทำวิจัย คือการเห็นปัญหา แล้วนำมาสู่การแก้ไข เด็กโลจิสติกส์ทุกคนจะต้องมีสกิลนี้ติดตัวค่ะ เพราะนักโลจิสติกส์ คือ นักแก้ปัญหา น่อวววว เราต้องมั่นไว้ก่อนค่ะทุกคน และด้วยความที่ก่อนมาฝึกงาน พวกเราได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี เพราะงั้น ลุย!!!นี่เป็นหน้าร้านอีบ้านนอกค่ะ เอามาอีกภาพให้เห็นชัด ๆ (ออฟฟิศของบัวเองค่ะ อิอิ) สถานที่ที่เป็นทั้งหน้าร้านจำหน่ายสินค้าและผลิตสินค้า ภายในร้านจะมีสินค้าที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์อยู่มากมายซึ่งมีทั้งผลิตที่นี่ และทางมูลนิธิรับมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ (บัวได้ไปดูเค้าทำด้วยนะ) ไม่ว่าจะเป็นลาหู่ กะเหรี่ยง หรืออาข่า ธุรกิจร้านอีบ้านนอกจึงเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับพวกเขาเหล่านี้ค่ะ ซึ่งที่นี่นักศึกษาฝึกงานสามารถออกไอเดียต่าง ๆ ได้เต็มที่ โดยจะมีพี่ ๆ ประจำโครงการคอยดูแลพวกเราค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไอเดียทางด้าน Marketing, Inventory, Warehouse อะไร ๆ เราสามารถแสดงความคิดเห็นได้แบบไร้ขอบเขต และมีโอกาสได้ลงมือทำจริง ๆ ด้วย นอกจากนี้ บัวยังได้รับหน้าที่ในการหาข้อมูลวัตถุดิบเพื่อการจัดซื้อจัดหา ได้โทรไปสอบถามข้อมูลกับบริษัท Supplier อีกด้วย เรียกได้ว่า เหมือนได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแห่งการบริหาร ที่เรียนรู้จากหน้างานจริง ๆ กันเลยทีเดียว พี่ ๆ เค้าใจดีมากนะ บอกเลยนี่คือ บรรยากาศเมื่อเดินเข้ามาในร้านอีบ้านนอกค่ะ มีสินค้าหลากหลายเลยใช่ม้าาา แต่สินค้าหลัก ๆ ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ "นกหวีดดินเผา" ค่ะ ซึ่งขอกระซิบบอกตรงนี้ว่า กว่าจะได้นกหวีดดินเผาแต่ละตัวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่คืองานทำมือทั้งหมด และแต่ละกระบวนการเค้าพิถีพิถันจริง ๆ นะคะและว่าด้วยเรื่องตัวชี้ชะตาว่าจะเรียนจบหรือไม่จบนั้น คือ วิจัย ในการฝึกสหกิจทุกคนจำต้องทำวิจัยเพื่อที่จะส่งเป็นโปรเจคจบค่ะ ดังนั้น ความท้าทายของการฝึกงานที่นี่ คือ การหาหัวข้อวิจัยเจ๋ง ๆ เพื่อที่จะนำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษา สิ่งที่ต้องทำคือ หาปัญหา ถ้าหาปัญหาเจอเราก็ปิ๊งป่อง ไปต่อได้แล้วค่ะทุกคน ซึ่งก่อนมาเนี่ย บัวได้หาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่บัวจะมาฝึกคร่าว ๆ แล้ว เมื่อมาฝึกจริงจึงทำให้เราไปต่อได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และด้วยความที่มีสินค้าหลักที่น่าสนใจเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้แล้ว บัวก็สั่งตัวเองเลยค่ะว่าจงเขียนออกมาเป็น Supply Chain ของนกหวีดดินเผาเดี๋ยวนี้!นี่คือนกหวีดดินเผาแบบสร้อยคอที่ทำให้บัวนึกถึงโรสในเรื่องไททานิค นึกถึงทำไมน่ะหรอคะ เพราะสิ่งที่ทำให้โรสรอดมาได้ ก็คือ นกหวีด!!! เพราะงั้นหากสาว ๆ คนไหนต้องการสร้อยคอที่เป็นนกหวีดได้ในเวลาเดียวกัน ไว้เป่าขอความช่วยเหลือในยามมีภัย บวกกับมีความเก๋ไก๋มีกลิ่นไอสไตล์ชนเผ่า ก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ Facebook: Ebannok ได้เลยนะคะ เสิร์ชเลย!!! (ปล. ผู้ชายก็ใส่ได้นะคะ ใส่เป็นสร้อยคู่กับแฟนก็เก๋ ๆ เลยน้าาา ไม่ได้ขายของเล้ยยย ฮ่า ๆ) นอกจากแบบสร้อยแล้ว ก็มีนกหวีดดินเผาแบบตั้งโต๊ะด้วยค่ะ เป่าได้และตั้งโชว์ได้ในตัวเดียว ร้านอีบ้านนอก ที่ดูเผิน ๆ อาจจะเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยไพเราะเพราะพริ้ง แต่เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งตกใจ ชื่อนี้มีที่มานะคะ เดี๋ยวบัวจะเล่าให้ฟังคร่าว ๆ คือว่า มันมาจากภาษาอังกฤษ e-Bannok ค่ะ ซึ่ง e ตัวหน้าเนี่ยมาจากคำว่า e-Commerce อ๋อกันแล้วใช่มั้ยคะ ถ้าถามว่าทำไมต้อง e-Commerce คำตอบก็คือ เพราะต้องปรับตัวตามยุคสมัยค่ะ ด้วยความที่ที่ตั้งของร้านอีบ้านนอกอยู่ห่างไกลผู้คนเหลือเกิน การที่คนจะพบเจอและเข้ามาซื้อของที่หน้าร้านจึงเป็นเรื่องยาก เราจำเป็นต้องใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาช่วยเพื่อทำให้ธุรกิจเพื่อสังคมแบบนี้หรือที่เราเรียกว่า Social Enterprise (SE) ยังคงดำรงอยู่และสร้างรายได้ให้กับแม่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป ดังนั้น หากเราอุดหนุนสินค้าของร้านอีบ้านนอก ก็เท่ากับว่า เราได้ช่วยให้กลุ่มชาติพันธุ์มีรายได้ และมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการสร้างโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อน ๆ สามารถหาคำตอบได้ง่าย ๆ ผ่าน Google ได้เลยนะคะ แฮร่ เพราะถ้าบัวหยิบมาเล่ามันก็จะย๊าว ยาวไปค่ะก่อนจากกันวันนี้ บัวขอเล่าถึงภาพนี้นะคะ คือ หลังจากที่หมดหน้าที่ของเด็กฝึกงานอย่างพวกเราในแต่ละวัน ช่วงเย็นเป็นต้นไปก็จะฟรีกันแล้วค่ะ และด้วยช่วงเดือนมกราเนี่ย อากาศหนาวเย็น มันจะฟินมากถ้าได้มานั่งล้อมวงแล้วผิงไฟ เม้าท์มอยกัน โดยฟืนก็หาได้แถว ๆ มูลนิธินี่แหละค่ะ นอกจากนี้ความฟินยังไม่หมดนะคะ ตื่นมายังพบกับวิวสวย ๆ ที่อดถ่ายเก็บไว้ไม่ได้ เพราะที่นี่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาค่ะ เราเลยได้เห็นหมอกเต็ม ๆ แบบนี้ อือหือออ คือสวยมากเลยใช่มั้ยคะ เหมือนกำลังโดนธรรมชาติโอบกอด การฝึกงานยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นนะคะ ในตอนต่อไป บัวจะพาเพื่อน ๆ ไปหาคำตอบว่า ทำไมจึงควรมาเป็นเด็กฝึกงานที่มูลนิธิกระจกเงาเชียงราย สายผจญภัยสายลุยห้ามพลาด!!!รูปภาพประกอบทั้งหมดโดย ผู้เขียน :')