ทุกคนคะ มาต่อกันดีกว่าค่ะ ซึ่งตอนสุดท้ายของเรื่องเล่าการฝึกสหกิจในครั้งนี้ บัวจะมาเล่าถึงงานลุย ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันค่ะ ไปกันเล้ยยยยถึงแม้ว่านักศึกษาฝึกงานมูลนิธิกระจกเงาทุกคนจะสังกัดโครงการที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนจะมีกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ "การทำแนวกันไฟ" ร่วมกับชาวบ้านและพี่ ๆ เจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าค่ะ ซึ่งขอบอกเลยว่า นี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่ได้มาสัมผัสกับอะไรแบบนี้ พวกเราเริ่มต้นเดินเท้าจากมูลนิธิกระจกเงา ผ่านทุ่งนา และขึ้นเขาที่เพิ่มระดับความชันขึ้นเรื่อย ๆ (หอบกันหลายแฮกเลยค่ะ)เพื่อน ๆ อาจจะกำลังตั้งคำถามว่า แนวกันไฟคืออะไร? ทำไมต้องทำแนวกันไฟ?การทำแนวกันไฟ คือ การสร้างด่านป้องกันไฟป่าที่จะลุกลามนั่นเองค่ะ วิธีการเนี่ย คือ เราจะถางทางให้เป็นแนวทางยาว ซึ่งหน้าที่ของพวกเราก็คือ ช่วยกันกวาดเคลียร์ทางนั่นเอง โดยพี่ ๆ เจ้าหน้าที่จะพกอุปกรณ์พ่นลมมาด้วยค่ะ เอาไว้เป่าพวกเศษใบไม้ที่เหลือจากที่พวกเรากวาดให้เข้าข้างทางให้เกลี้ยงที่สุด จากนั้นก็จะมีการจุดไฟเผาเศษใบไม้ข้างทางนั้น พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ที่ต้องเผาเพราะถ้าเผาแล้วมันจะไม่สามารถเป็นเชื้อเพลิงได้อีก เพราะเวลาเกิดไฟป่า ไฟจะลาม ถ้าไฟเจอแนวกันไฟมันก็จะลดอัตราการลามลง หูยยยย เท่อ่าาาอุปกรณ์ที่เราใช้ คือ ไม้กวาดที่ทำจากต้นไผ่ค่ะ บัวเรียกไม้กวาดนี้ว่า "ไม้กวาดแฮรี่พอตเตอร์" ฮ่าๆ เหมือนมั้ยค่ะ บัวชอบมากเลยถ่ายรูปเก็บไว้ ตอนแรกบัวก็สงสัยว่าเราต้องใช้อุปกรณ์อะไรรึป่าว เพราะพวกเราเดินไปตัวเปล่า พอถึงเวลาที่ได้ลงมือทำ ก็อ๋อทันทีว่าอุปกรณ์ที่เราจะใช้ช่วยป่า ก็หาได้จากในป่านี่เอง โดยสิ่งที่คุณลุง คุณป้า คุณน้าพกไปด้วย มีเพียงย่ามที่ใส่มีด และเสบียง ซึ่งสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือสิ่งนี้ค่ะ "ของว่างเพิ่มพลัง" ที่ถูกจัดวางไว้บนใบตอง ธรรมชาติสุด! มันอร่อยและสดชื่นมากเลยนะคะ โดยเฉพาะมะเฟือง ปกติบัวไม่เคยคิดจะกินเลย เพิ่งรู้ว่ามะเฟืองมันอร่อยขนาดนี้ เลยฟาดไปหลายชิ้นเลยค่ะ พอพักเติมพลังกันก็เดินต่อไปเพื่อทำแนวกันไฟ ณ จุดต่าง ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ข้ามจากเขาลูกนี้ ไปเข้าลูกโน้น สุดยอดดดดดด นอกจากทางเรียบ ทางชันแล้ว ก็ยังมีทางน้ำ ที่เป็นลำธารเล็ก ๆ ที่เราต้องเดินผ่านด้วยนะคะ อารมณ์เหมือนเข้าค่ายเลยใช่ม้าาา บัวชอบนะ มันเป็นการฝึกงานที่ได้มากกว่าการฝึกงานจริง ๆ โอกาสที่เราจะได้จับมือกันข้ามลำธารแบบนี้ ได้ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ ชาวบ้าน และพี่เจ้าหน้าที่แบบนี้ มันหาไม่ได้ง่าย ๆ บัวชอบฟีลนี้จริง ๆ นอกจากเส้นทางในภาพ ก็ยังมีที่บัวไม่สะดวกถ่ายด้วยนะคะ ฮ่า ๆ เพราะมันถ่ายไม่ได้จริง ๆ อารมณ์แบบเดินข้ามเขา ชันแบบให้สไลด์ลงไปแบบสไลเดอร์ยังง่ายกว่า เพื่อน ๆ ที่จะมาฝึกงานต้องพกรองเท้าทน ๆ มาซักคู่นะคะ จะได้พร้อมลุยยยยนอกจากขึ้นเขาทำแนวกันไฟแล้ว บัวยังได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานด้วยค่ะ ยินดีกับคู่บ่าวสาวด้วยนะคะ ^^งานแต่งงานที่นี่ ก็มีการเลี้ยงโต๊ะจีนเหมือนงานแต่งทั่ว ๆ ไป แต่...ไม่ทั่วไปตรงที่อาหารค่ะทุกคน เป็นอาหารพื้นเมือง บอกเลยว่าอร่อยมากกกกก อร่อยยันผักเลยค่ะ ข้าวที่นี่ก็ไม่ใช่ข้าวที่เราหาทานได้ทั่วไป เพราะเป็น "ข้าวดอย" เป็นพันธุ์ข้าวที่กินแล้วอิ่มเร็วอิ่มนานมากค่ะ อิ่มจุก ๆ กันเลยทีเดียว พอมาถึงจุดที่ได้พูดเรื่องของกิน บัวก็ขอนำเสนอภาพอาหารบางเมนูที่แม่ครัวจัดให้พวกเราได้รับประทานกันในแต่ละวันนะคะ บอกเลยว่า ครบ 5 หมู่ และเป็นครั้งแรกที่บัวกินข้าวกับแตงโมค่ะ อือหืออออ ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นก็คงต้องร้อง "สุโค่ยยยยย" และถ้าหากใครกลัวว่ามาฝึกงานที่นี่แล้วจะขาดความหวาน น้ำตาลในเลือดลด บอกเลยว่า ไม่มีทางค่ะ เพราะเรามีร้านน้ำหวาน!!! อยู่ในมูลนิธิค่ะทุกคน อร่อยมาก กินแล้วติด บัวเตือนแล้วนะคะ แฮร่ ซึ่งนอกจากนี้ ก็มีจะร้านขนมเล็ก ๆ อยู่ข้าง ๆ โรงอาหารด้วยค่ะ ขนมขบเคี้ยว ไอศกรีมต่าง ๆ เพื่อน ๆ สามารถเลือกสรรกันได้เลยป.ล. ป้าแม่ครัวจะทำอาหารให้เรากิน 3 มื้อเลยค่ะ ในวันธรรมดา แต่วันเสาร์อาทิตย์พวกเราต้องเข้าครัวรังสรรค์เมนูกันเอง ตามวัตถุดิบที่ป้าแม่ครัวจัดไว้ให้ อารมณ์เหมือน Master Chef ซึ่งภาพตรงกลาง เดาไม่ยากเลยใช่มั้ยคะว่า เป็นอาหารของวันหยุด ฮ่า ๆ ส่วนภาพรอบ ๆ เป็นอาหารถาดที่สามารถตักได้อีก ถ้าไม่อิ่ม และถ้าไม่หมดซะก่อนค่ะ ฮ่า ๆนี้คือน้ำร้านพี่อ้อค่ะ เป็นที่สุดของที่สุด มีเมนูหลากหลาย รสชาติดีมากกกก มีทั้งเย็นและปั่น มีฮอทดอกกับเฟรนช์ฟรายส์ขายด้วยนะที่บัวหยิบมาเล่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งสำหรับการฝึกงานเท่านั้นนะคะ (หรือถ้าจะเรียกให้ถูก ก็คือ ฝึกสหกิจ) ส่วนหนึ่งจริง ๆ ค่ะ เพราะประสบการณ์ที่ได้จากที่นี่เยอะมาก ขอให้ทุกคนได้ลองก้าวเดินออกมาตามหาสิ่งที่ชีวิตไม่เคยได้รู้ ได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้ลองไปในที่ที่ไม่เคยไป อย่างน้อยเราก็ได้ลอง และเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าชีวิตเราไขว่คว้าอะไรอยู่ จนมาถึงตอนนี้ บัวฝึกงานและเรียนจบมา 1 ปีแล้ว บัวก็ยังคิดถึงสิ่งที่ได้ทำในวันเหล่านั้น ถึงแม้ว่า ณ ตอนนั้น จะมีเหนื่อย มีท้อ ปะปนกับความสนุก แต่ตอนนี้ บัวกลับอยากไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกครั้ง ชีวิตแบบนักศึกษาฝึกงานขอส่งท้ายด้วยภาพนี้นะคะ ทุกคนสามารถเห็นป้าย quote ดี ๆ แบบนี้ได้ที่มูลนิธิค่ะ รู้สึกฮึกเหิมมมมม!ขอบคุณพี่ ๆ มูลนิธิกระจกเงาเชียงราย ที่ให้โอกาสหนูได้มาฝึกประสบการณ์ (ชีวิต) ที่นี่นะคะขอบคุณเพื่อน ๆ ที่คอยซัพพอร์ตกันและกันตลอดมาขอบคุณอาจารย์ที่อนุมัติให้หนูมาฝึกที่นี่ ขอบคุณที่บ้านที่ยอมให้เดินทางมาไกลถึงเจียงฮายนะเจ้าแล้วมาลองสัมผัสชีวิตการเป็นนักศึกษาฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงาเชียงรายด้วยกันนะคะภาพประกอบทั้งหมดโดย ผู้เขียน :')