หอแห่งแรงบันดาลใจ (Hall of Inspiration) เคยมาเที่ยวที่นี่เมื่อหลายปีมาแล้ว สักสิบปีกว่าแล้วกระมัง ตอนนั้นแค่มาเที่ยว มาดูความงามของสถานที่ ของดอกไม้เมืองหนาวที่สวยแปลกตา ที่บ้านไม่มี เป็นโปรแกรมที่มาเชียงรายแล้วต้องมาที่นี่...แค่นั้นจริง ๆ คราวนี้มีโอกาสได้มาเพื่องานที่ทำอยู่ ได้เข้าไปดูสวนดอกไม้และพระตำหนักดอยตุงของสมเด็จย่า ...ที่คราวนี้มีเครื่องบรรยายพร้อมหูฟังที่คอยเล่าเรื่องราวตามจุดต่าง ๆ ของพระตำหนัก โดยเราสามารถเลือกฟังหรือฟังซ้ำในจุดไหนก็ได้ตามอัธยาศัย ตลอดเวลานั้นได้ชวนให้จินตนาการตามและรำลึกถึงสมเด็จย่า อีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่เคยมาและเป็นจุดประสงค์หลักของการมาครั้งนี้ คือ หอแห่งแรงบันดาลใจ (Hall of Inspiration) ที่ภายนอกต้องบอกตามตรงว่าไม่ค่อยมีอะไรให้น่าดึงดูดให้เข้าไปเท่าไรนัก แม้จะ “ฟรี” ก็ตามที มีข้อมูลบอกว่าที่นี่แต่เดิมคือหอพระราชประวัติ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า” ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาเป็นนิทรรศการที่จัดแสดงเรื่องราวในราชสกุลมหิดล อันประกอบด้วย สมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ต่างทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของกันและกัน ในการทรงงานเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของแผ่นดินไทย อีกทั้งยังแสดงปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ตามหลัก เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา ผ่านขั้นตอน วิธีการ เทคนิค เครื่องมือการนำเสนอ ต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด ชวนให้ผู้เข้าชมติดตามได้ไม่เบื่อและซึมซับ ซาบซึ้งในเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยฝีมือของทีม ร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม พระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทำหน้าที่หัวหน้าและคณะทำงานในการรังสรรค์หอแห่งแรงบันดาลใจ แห่งนี้ ที่นี่มีพื้นที่จัดแสดงของแต่ละห้องนั้นไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่ได้มีการจัดวางนิทรรศการได้อย่างลงตัว มีการใช้โทนแสง สี เสียง และ เทคนิค Shadow animation เข้ามาช่วยเติม ทำให้เกิดความน่าสนใจเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าสู่ตัวอาคารที่ดูธรรมดา ๆ และเดินลงบันไดไป...เหมือนจะสองชั้นนะ ก็จะธรรมดาและมืดหน่อย ๆ อยู่ดี แต่หลังจากประตูอัตโนมัติหลังกระจกที่สลักคำว่า “หอแห่งแรงบรรดาลใจ” เปิด ความว้าววว😍😍 ก็บังเกิด เนื่องจากฉากหลังที่ตกแต่งด้วยเส้นด้ายสีขาว เส้นยาวที่ห้อยลงมาจากเพดานสู่พื้นเหมือนสายฝนจากฟ้า ที่เรียงร้อยกันอย่างเป็นระเบียบ กระทบด้วยแสงสีฟ้าอย่างสวยงามตามแนวโค้งโดยรอบของห้องกลม ๆ มุมหนึ่งจะเป็น ผังราชสกุลที่ กล่าวถึงสมาชิกราชสกุลมหิดล ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ในฐานะครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งที่อบอุ่น และเปรียบดั่ง “หยดน้ำ” แต่ละหยด หลอมรวมตัวกันหลั่งลงมาเกิดเป็นสาขาต่าง ๆ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ปวงชนชาวไทย ดังคำกล่าว “หอแห่งแรงบันดาลใจ เพียงหยดน้ำ หนึ่งหยดเล็กๆ ก็ส่งแรงกระเพื่อมสะเทือนไหว แต่ขยายยิ่งใหญ่ กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด ราชสกุลมหิดล เปรียบได้ดั่งหยดน้ำหยาดลงบนแผ่นดิน สร้างความฉ่ำเย็นให้ชนทั้งมวล” ในห้องนี้เราสามารถเห็นและได้ยินเสียงหยดน้ำกระทบบนผิวน้ำที่แสดงให้เห็นสาขาของต้นไม้และผืนแผ่นดิน...ไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำจริงหรือเปล่า อยากจะลองสัมผัสดู แต่ไม่กล้า เพราะมีป้าย ห้ามสัมผัส don’t touch กำกับอยู่ตลอดทางเดิน ผ่านห้องที่หนึ่งไปห้องที่สองที่เล่าถึงพระราชประวัติสมเด็จย่า ผ่านภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ในแต่ละช่วงเวลา ตั้งแต่ยังทรงเป็น “เด็กหญิงสังวาลย์” เด็กสาวสามัญผู้ใฝ่ดีและแสวงหาโอกาส จนเป็น “คู่ชีวิตของเจ้าฟ้า” และการเป็น “แม่ของลูก” ที่มีหลักในการอบรมเลี้ยงดูพระโอรส พระธิดาให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และในที่สุดกลายเป็น “แม่ฟ้าหลวง” ของพสกนิกรชาวไทย ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้คนที่แร้นแค้นมากมาย ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งห้องนี้ได้แสดงพระจริยวัตรที่งดงาม น่ารักของเจ้าฟ้าแต่ละพระองค์ ที่เห็นแล้วชวนให้อมยิ้มพร้อมกับอดน้ำตารื้นไม่ได้😅😅 ค่อย ๆ เดินมาจนถึงห้องที่ 3 “การกลับคืนสู่มาตุภูมิของราชสกุลมหิดล” ที่แสดงเรื่องราวความรับผิดชอบของกษัตริย์พระองค์น้อย (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) ที่ทรงมีต่อประเทศชาติ และความจำเป็นที่ต้องละวางชีวิตที่เรียบง่าย เพื่อเสด็จนิวัติกลับสู่มาตุภูมิ มาทรงรับพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ในฐานะ “พระมหากษัตริย์ของประชาชน” ในยุคที่บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย เดินตามทางมาอีกหน่อยก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้ก จอแจ ทีแรกนึกว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ก็อกสงสัยไม่ได้ว่า วันนี้คนก็ไม่เยอะนะ ทำไมดูวุ่นวายจัง พอเข้ามาถึงในห้อง กลับไม่เจอใครสักคน จะเห็นเพียงรูปภาพแผ่นเล็ก ๆ ที่ร้อยเรียงกันสลับข้อความที่แสดงถึงปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน ผู้ออกแบบได้เลือกวิธีการแสดงออกมาได้อย่างชาญฉลาด โดยการนำแผ่นภาพและปัญหาเหล่านั้น เรียงร้อยกันอย่างสะเปะสะปะ ตามแนวรูปแบบของเขาวงกตที่หาทางออกได้ยากยิ่ง พร้อมกับเสียงพูดก่น บ่นด่าถึงปัญหาต่าง ๆ เป็นภาษาของพสกนิกรชาวไทยทั่วทุกภาคของประเทศ ที่หากไม่ตั้งใจฟังจริง ๆ จะไม่รู้ว่าเป็นภาษาและบ่นถึงเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งทำให้รู้สึกว่า “ปัญหาไม่มีวันหยุดและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง” และแน่นอนครับ ห้องถัดไปก็เป็นการแสดงถึงวิธีการแก้ปัญหา โดยในห้องนี้ได้นำเครื่องมือที่เรียบง่ายของในหลวงมาแสดงให้ชมอย่างไกล้ชิด เช่น แผนที่ ดินสอ วิทยุสื่อสาร กล้องถ่ายรูป เป็นต้น เป็นภาพที่เราชาวไทยเห็นจนคุ้นชินตา พร้อมกับหลักธรรมต่าง ๆ ที่ในหลวงใช้ในการแก้ปัญหา อันสะท้อนถึงหลักการทรงงาน ที่มุ่งการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” จนมาถึงพระราชกรณียกิจมากมายที่ทรงทำผ่านโครงการต่าง ๆ ทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ เพื่อแก้ปัญหาของคนไทยทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่คนบนภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่ม จนจรดชายฝั่งทะเล ดังเห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ 3,000 กว่าโครงการ ซึ่งที่นี่ได้มีการแสดงรายชื่อโครงการต่าง ๆ ใว้เต็มพื้นที่บนผนังสีขาว ที่แม้จะเป็นแค่ชื่อโครงการแต่ก็สามารถทำให้อึ้ง ทึ่งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว และในห้องนี้เองที่มีการแสดง “Shadow Animation” บนจอขนาดใหญ่ ที่หากใครสนใจโครงการในพระราชดำริใด ก็สามารถชูมือให้เงาขึ้นที่หน้าจอ ตัวละครก็จะวิ่งออกไปอธิบายเรื่องราวของโครงการนั้น ๆ ...แต่ขอสารภาพว่าเล่นไม่ค่อยเป็น😅😅😅 ถัดจากห้องของการแก้ปัญหาแล้ว จะเป็นห้องที่ 6 ที่จะได้เห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่นไอที่แสดงถึงวิถีชีวิตชาวเขาและปัญหาต่าง ๆ ในดอยตุงและพื้นที่โดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปัญหายาเสพติด(ฝิ่น) ความยากจน ความไม่รู้หนังสือ การขายตัว เป็นต้น พร้อมกับแบบแผนการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนบนดอยตุง ซึ่งสมเด็จย่า ได้ทรงมีพระราชดำริเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุง อันเป็นการแก้ไขปัญหาของดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมทองคำได้อย่างครบวงจร ด้วยการ “ปลูกป่า..ปลูกคน” ควบคู่กันไปกับการให้การศึกษา ให้อาชีพ ให้ความมีสุขภาพอนามัยที่ดี โดยทรงศึกษาจากโครงการพระราชดำริของในหลวง และได้นำมาพัฒนาพื้นที่ดอยตุง อันเป็นการพัฒนาที่ “แม่เรียนจากลูก” กระทั่งดอยตุงและเชียงรายโดยรอบ กลายเป็นพื้นที่ที่ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และจุดสุดท้ายอันเป็นห้องที่ 7 “ห้องแห่งแรงบันดาลใจ” ห้องที่ออกแบบเป็นโทนสีฟ้าสบายตาประกอบตนตรีบรรเลงเบา ๆ สบาย ๆ ภายในห้องจะพบกับพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดล ที่แสดงถึงความใกล้ชิดความผูกพัน และการทรงงานของสมาชิกราชสกุลมหิดลทั้ง 5 พระองค์ เรียงต่อเป็นวงกลม บนก้านที่ยื่นออกมาคล้ายช่อดอกไม้ที่เคลื่อนไหวได้เมื่อสัมผัส(เผลอลืมป้ายห้ามจับ) หรือกระทบกับสายลม ห้องนี้ทำให้เกิดความรู้สึกภูมิใจ ซาบซึ้ง ความคิดถึงอย่างจับใจ เกิดแรงบันดาลใจจากครอบครัวเล็ก ๆ ที่แก้ปัญหาแล้วปัญหาเล่า จนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน “สิ่งยิ่งใหญ่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ระลอกน้ำกระเพื่อมจากน้ำเพียงหนึ่งหยด ระลอกน้ำที่แผ่ขยายกว้างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือ ตัวเราเอง...” เมื่อมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว กลับเกิดความลังเลถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่พึ่งรับรู้ผ่านมาตลอดตั้งแต่ห้องที่ 1 ถึงห้องที่ 7 ว่าในชีวิตเรานั้นได้พลาดอะไรมาบ้าง เรื่องราวดี ๆ มากมาย ไกล้ตัว ถูกเผยแพร่ออกมาตามสื่อต่าง ๆ ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้รับตั้งแต่เด็กจนโต...จนป่านนี้ ทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนและประสบการณ์พบเจอในรูปแบบต่าง ๆ เราได้ซาบซึ้ง ซึมซับ กันจริง ๆ หรือไม่ หรือแค่การเป่าประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ว่าเรารู้...แค่นั้น หากเป็นแค่นั้นจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ข้อความสุดท้าย ก่อนถึงประตูเลื่อนอัตโนมัต “ทางออก EXIT” ที่พร้อมเปิดให้เราออกไปเสมอ เมื่อเรามาถึง จะได้เจอประโยคคำถามว่า “หยดน้ำนี้ สะท้อนอะไร ในหัวใจคุณบ้าง” 😢นิ่ง...คิด...ทบทวน.......หากยังหาคำตอบไม่ได้ ที่นี่พร้อมจะเปิดให้เราเข้าไปหาคำตอบได้อีกครั้งและอีกครั้ง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า....และ “ฟรี” ครับ