ลมหนาวพัดผ่านมาในยามเช้า ดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยท้องฟ้าสีเทาพร้อมกับเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาบนถนนสายลูกรัง ฉันนั่งรถกระบะเพื่อออกเดินทางตามธรรมชาติกับบรรยากาศที่พร้อมจะเข้าสู่ฤดูกาลของปลายฝนต้นหนาวทุกเมื่อ สายฝนที่เริ่มโปรยปรายมาอย่างหนัก พร้อมหมอกสีขาวที่ปกคลุมไปบนท้องถนน ทำให้รถทุกคันต้องขับอย่างระมัดระวังกับเส้นทางที่คดเคี้ยวเลี้ยวไปมา ในยามนี้ฉันได้แต่ภาวนาให้สายฝนหยุดโปรยปรายลงมาได้แล้ว แต่เหมือนกับว่ามันจะเป็นโชคที่ไม่ดีสำหรับฉัน ฝนมันกลับตกมากขึ้นกว่าเดิม ฉันได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในความโชคร้ายนั้นยังมีความโชคดีให้กับฉัน นั่นก็คือได้มาถึงสะพานแห่งความศรัทธาหรือที่เรียกกันว่าสะพานแห่งบุญแล้ว สะพานบุญขัวแตะตั้งอยู่ที่ บ้านวังเงิน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นสะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาว 360 เมตรอยู่ถนนสาย 11 ลำปาง-เด่นชัย ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในจังหวัดลำปาง เพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นานมานี้แต่ก็ได้มีรายการต่างๆ รวมถึงข่าวหนังสือพิมพ์กันลงข่าวกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นสถานที่ ที่เป็นธรรมชาติและตำนานเก่าแก่มากมายอีกที่หนึ่งของจังหวัดลำปาง เมื่อฉันถึงสะพานขัวแตะแล้ว บรรยากาศรอบๆ นั้นก็ยังไม่มีท่าทีที่จะเป็นมิตรกับผู้มาเยือนสักนิด เมฆหนาปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าในยามนี้พร้อมกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทางเดินที่จะไปยังสะพานขัวแตะนั้นเป็นทางที่ชันมากเหมือนกำลังขึ้นภูเขา ประกอบไปด้วยฝนที่ตกลงมาทำให้ทางขึ้นไปยังสะพานขัวแตะนั้นทั้งลื่นและเป็นโคลน หลังจากที่ได้ขึ้นไปถึงแล้ว มีชาวบ้านหลายๆ คนได้มาขายของบนเนินก่อนถึงสะพานขัวแตะประมาณ 2-3 เลยก็ว่าได้ มีเห็ดป่าที่หายากแบบไม่เคยเห็นมาก่อน กับผลไม้ ไข่ลวก ขนมไทยที่หลากหลายฝีมือคุณป้า ซึ่งน่ารับประทานมาก พร้อมกับร้านอาหารตามสั่งที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนในยามที่บรรยากาศชุ่มชื่นแบบนี้ หลังจากได้สูดกลิ่นอาหารจากร้านอาหารตามสั่งแล้วก็พอที่จะหายท้องร้องได้บ้าง ก็เดินมุ่งหน้าเดินข้ามสะพานทันที ฉันได้เดินพร้อมกับหยิบมือถือมาถ่ายภาพบรรยากาศที่สวยงามเป็นธรรมชาติมาเก็บไว้ ฉันได้เดินไปจนถึงศาลานั่งจุดพักที่ใช้ฟางเก่าๆ ในการสร้างหลังคา ซึ่งถือว่าเป็นภูมิปัญญาที่ดีของชาวบ้านเลยทีเดียว “หนู อย่าเพิ่งรีบไปไหนสิ กินน้ำก่อนทางวัดเขาแจกฟรีนะ” สิ้นเสียงคุณยายฉันก็ไม่รอช้าไปหยิบน้ำมาในทันที “เอาขนมไหม ยายให้ฟรีเลยนะ ตอนนี้ยายขายไม่ค่อยได้เลย ฝนมันตก” คุณยายก็หยิบขนมที่ห่อใบตองสีเขียวสด มีกลิ่นมะพร้าวอยู่ด้วยมาให้ ฉันจึงรีบหยิบในทันที “ขอบคุณมากเลยค่ะคุณยาย” หลังจากคุณยายได้ให้ขนมมาแล้ว ยังใจดีเล่าความเป็นมาของที่นี่อีกด้วยว่า สะพานแห่งนี้เกิดมาจากแรงศรัทธาของชาวบ้านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคที่นาของตัวเองมาสร้างสะพานเพื่อใช้สัญจรไปมาเพื่อไปทำบุญที่วัด โดยสะพานขัวแตะนั้นถูกสร้างด้วยไม้ไผ่จากชาวบ้านที่นำมารวมกันโดยช่วยกันในหมู่บ้านของตนเองโดยไม่พึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ จากส่วนอื่นเลย ส่วนในตอนนี้ก็ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากเท่าไร แล้วคุณยายที่มีใบ้หน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรยังเล่าต่อไปว่า “ยายก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ช่วยเค้าสร้างนะ” คุณยายเล่าด้วยพร้อมท่าทางมีความสุขมากที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างสะพานแห่งแรงศรัทธานี้ หลังจากที่ฉันได้เห็นคุณยายใจดีหัวเราะ ก็มีความสุขไปด้วยเลย เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก ต้นข้าวที่ปลิวไสวท่ามกลางทุ่งนาที่เขียวขจี พร้อมกับบรรยากาศที่ชุ่มชื่นหลังฝนตก เสียงน้ำในทุ่งนาที่ไหลผ่านต้นข้าวไปสู่แม่น้ำสายใหญ่นั้นชวนนึกถึงน้ำตกที่เมื่อได้ยินเสียงก็อยากจะลงไปเล่นน้ำทันที ในระหว่างการเดินบนสะพานขัวแตะนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าเราจะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเราจะได้เห็นประดับไว้บริเวณซุ้มประตู ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 จุด รู้สึกเหมือนกับพระองค์ยังอยู่กับเราไม่ได้ไปไหนซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจมากในช่วงตลอดระยะการเดินบนสะพานขัวแตะ เมื่อเดินไปสักพักฉันก็ได้สะดุดตากับป้ายสีขาวขนาดใหญ่อยู่กลางทุ่งนาโดยเขียนไว้ว่า “สะพานบุญวัดพระธาตุสันดอน” ฉันได้เดินลงไปถ่ายภาพด้วยความระมัดระวังเพราะว่ามันอยู่ข้างล่าง และคอยระวังเจ้าโคลนสีน้ำตาลที่พร้อมจะมาอยู่บนเสื้อของฉันได้ทุกเวลา ฉันเดินย่ำเท้าอย่างรีบเร่งบนสะพานไม้ไผ่ที่มีเสียงลำธารสายเล็กไหลผ่านตลอดเวลา พร้อมกับลมที่โชยมาอย่างไม่แรงนัก กำลังสบายพอดี ฉันเก็บภาพของธรรมชาติเหล่านี้ไว้ในกล้องโทรศัพท์ของฉันที่หน่วยความจำกำลังจะเต็มในอีกไม่นานนี้ ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วทุ่งนา ซึ่งเป็นความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติมากๆ กิ่งก้านเริ่มสั่นไหวเอนไปมาคล้ายกับลมจะพาพัดผ่านไป ในตอนนี้ทั่วพื้นที่บนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีสวยสดใสได้กลายเป็นสีเทามืดครึ้มมากและอีกไม่นานนักฝนคงตกอีกแน่ ฉันเตรียมร่มขึ้นมาแล้วเดินไปเรื่อยๆ จนถึงวัดแห่งตำนานแล้ว จากนั้นไม่รอช้า ฉันเดินขึ้นบันไดนาคที่มีขั้นบันได 55 ขั้น ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยเพราะว่าเหงื่อของฉันตอนนี้ได้ไหลลงเป็นเม็ดเดียวกับฝนแล้ว ฉันได้เดินสำรวจและไว้พระธาตุเรียบร้อย ก็ได้เหลือบไปเห็นประวัติวัดพระธาตุสันดอนที่สลักด้วยแผ่นสีน้ำเงิน ตัวหนังสือสีขาว ซึ่งเป็นแผ่นป้ายที่เก่ามาก คิดว่าคงได้สลักขึ้นมานานแล้ว โดยป้ายนั้นได้เขียนไว้ว่า สถานที่แห่งนี้เมื่อในอดีต พระพุทธเจ้าได้เสด็จมา โดยขึ้นมาถึงหัวเขาม่อนดอยนี้เป็นเวลากลางวันเพื่อจะฉันเพล แต่วันนั้นท้องฟ้ากลับมืดครึ้ม จนต่อมาได้มียักษ์ตนหนึ่งที่หิวโหยมาขอตับของพระพุทธเจ้ากิน พระองค์จึงล้วงตับพระองค์ให้ แต่ยักษ์กินตับไม่ได้เพราะร้อนจนกลายเป็นหิน พระองค์จึงได้ฝังตับของพระองค์เองไว้ที่นี่เป็นพระธาตุ แล้วจึงให้ยักษ์รับศีลห้าก่อนที่จะมอบให้ยักษ์รักษาพระธาตุแห่งนี้ไว้ตลอดห้าพันพระพรรษา และจึงตั้งชื่อว่าพระธาตุตับตอนซึ่งหินในบริเวณดังกล่าวนี้จะมีลักษณะสีดำคล้ายตับ จนกลายเป็นชื่อของวัดพระธาตุสันดอนแห่งนี้ในปัจจุบัน ซึ่งมีความเชื่อว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดที่ฝังตับของพระพุทธเจ้า ซึ่งหากใครที่มีอาการเกี่ยวกับตับถ้ามาขอพรที่พระธาตุแห่งนี้อาการจะดีขึ้นนั่นเอง หลังจากที่อ่านแล้วฉันก็ไปเก็บภาพบรรยากาศและความสวยงามของวัดแห่งนี้ “หนู มากินข้าวด้วยกันก่อนสิ” เสียงของกลุ่มคุณป้าที่ล้อมวงกินข้าวในช่วงกลางวันได้หันมาคุยกับฉันอย่างอารมณ์ดี และเป็นกันเองมากๆ “ไม่เป็นไรคะป้า ขอบคุณมากๆ เลยคะ” ฉันกล่าวขอบคุณคุณป้าไปถึงแม้ว่าฉันจะหิวมากก็ตาม ในบริเวณรอบๆ พระธาตุนั้นได้มีต้นผ้าป่าอยู่จำนวนหนึ่งได้ตั้งไว้ใกล้ๆ พระธาตุ “พรุ่งนี้จะมีผ้าป่ามาจากต่างจังหวัดนะ เมื่อวานก็มีก็คือต้นที่หนูเห็นนะ เอ่อ ถ้าพรุ่งนี้หนูว่างก็มาร่วมงานทอดผ้าป่าก็ได้นะหนู คนเยอะป้าว่ามันสนุกดี” คุณป้าใจดีได้เดินออกจากวงที่กินข้าวแล้วพูดกับฉัน พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเมื่อได้รู้ว่าจะมีงานบุญขึ้นอีกครั้ง แล้วฉันก็กล่าวขอบคุณและร่ำลา คุณป้าก่อนเดินกลับลงไปสะพานขัวแตะ เพื่อจะรีบไปเก็บภาพบรรยากาศก่อนที่จะดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป ฉันก็ได้เดินออกจากวัดพระธาตุสันดอนมุ่งตรงไปยังสะพานขัวแตะอีกครั้ง ริมทางระหว่างการเดินทางนั้นรู้สึกได้ถึงแหล่งธรรมชาติมาก มีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ส่วนด้านล่างนั้นมองไปทีไรก็สุขใจสบายตาทุกครั้ง เมื่อมองไปยังทุ่งนาที่เขียวขจีที่มีลำธารที่ไหลผ่านทุ่งนา พร้อมเสียงฝีเท้าของฉันที่ย่ำก้าวบนสะพานไม้ไผ่แห่งนี้ มันทำให้มีความสุขมาก ฉันได้เดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงศาลาที่ถูกสร้างด้วยฟางอีกครั้ง ฉันได้พบกับคุณยายอีกครั้ง คุณยายนั้นได้เตรียมตัวที่จะกลับบ้านแล้ว ฉันจึงได้เดินไปช่วยคุณยายเก็บของพร้อมเดินกับคุณยายและคุยไปด้วย คุณยายแลดูมีความสุขมากเมื่อฉันได้ถามเกี่ยวกับที่นี่และคุณยายยังเล่าต่ออีกว่า “ชีวิตดั้งเดิมของที่นี่ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไปหรอก ส่วนใหญ่เป็นการทำนา ทำไร่สวนมากกว่า” คุณยายเล่าด้วยสีหน้าที่อมยิ้มเล็กน้อยพร้อมจับแขนฉันบอกให้เดินช้าๆ “หลังจากทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสะพานบุญขัวแตะแห่งนี้ ก็ทำให้ชาวบ้านเดินทางสะดวกมากขึ้นไม่ต้องอ้อมไปไกลกว่าหลายกิโลเมตรเลยนะ” ในระหว่างเดินคุยอยู่นั้นคุณยายก็ได้หยุดเดิน แล้วกราบพ่อหลวงของเราอีกด้วย หลังจากนั้นฉันก็ได้ถามคุณยายเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของชาวบ้านที่นี่เมื่อสะพานแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว “ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่มีอะไรมากใช้ชีวิตเหมือนเดิม ก็ยังปลูกข้าวในที่นาที่บริจาคให้วัด แต่มีบางคนเช่น ทำให้มีรายได้มากขึ้นจากการขายของต่างๆ โดยบางส่วนที่เราขายของได้ก็ไปบริจาควัดนะ เมื่อที่นี่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วก็ยังทำให้วัดก็เป็นที่รู้จักขึ้นมากกว่าเดิมด้วย ยายดีใจนะ อยากให้คนมาเที่ยวเยอะ” คุณยายเล่าจบและหัวเราะอย่างคนมีความสุขมาก ในที่สุดฉันก็เดินถึงจุดหมายเรียบร้อยแล้ว ฉันแยกกับคุณยายพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณทันที คุณยายรีบให้ขนมฉัน แล้วเดินจากไปตามถนนที่เปื้อนไปด้วยโคลนของฝนที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อตอนกลางวัน ในตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว ฉันจึงขึ้นรถและแง้มกระจกรถลงนิดหน่อย เพื่อขอสูดบรรยากาศของธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งทำให้ฉันประทับใจมาก ที่ได้มาสะพานบุญขัวแตะแห่งนี้ และไม่ลืมเก็บภาพความทรงจำไว้ในกล้องมือถือของฉันก่อนกลับบ้านอีกด้วย สะพานบุญขัวแตะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้เลย ความอุดมสมบูรณ์และความงดงามของธรรมชาติ ซึ่งมีทุ่งนาเขียวขจีโอบล้อมสะพานแห่งบุญนี้ด้วยความอบอุ่นและสามัคคีกันของชาวบ้าน โดยได้ร่วมแรงศรัทธาในการสร้างสะพานบุญแห่งนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังมีวัดแห่งตำนานพระธาตุสันดอนที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของวัดล้านนาอยู่ ฉันภูมิใจและมีความสุขมากที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้และทุกเรื่องราวของการเดินทางท่องเที่ยวมาสะพานบุญขัวแตะนี้จะยังคงอยู่ในความทรงจำของฉัน เพราะฉะนั้นมันคือเหตุผลสำคัญที่คุณต้องได้ไปเยือนสักครั้ง มาสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ณ ที่แห่งนี้ “สะพานบุญแห่งทุ่งสีเขียว”