ในราตรีอันมืดมนของคืนวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นเวลาที่ผู้คนต่างพากันหลับใหลอยู่ในเคหะสถาน ไม่มีการทำกิจกรรมหรือจัดงานรื่นเริงใด ๆ บรรยากาศภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝุ่นและควันไฟไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนบ้านสามขา อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ประสบกับความลำเค็ญอันเนื่องมาจากผลกระทบของไฟป่าหนักหนาที่สุดในรอบหลายปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เสียงตามสายจากผู้ใหญ่บ้าน ปลุกผมให้ตื่นจากการหลับใหล พร้อมกับหันไปมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ตั้งไว้บนหัวนอน ซึ่งบอกว่าในขณะนี้เป็นเวลา 21.15 นาฬิกา เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนของหลาย ๆ คน ทว่าเสียงเรียกระดมพลในช่วงเวลานี้คงจะเป็นร้ายมากกว่าดีอย่างแน่นอน ผมรีบมองออกไปนอกหน้าต่างจากชั้นสองของบ้านก็พบกับภาพที่ไม่อยากเห็น นั่นคือแสงเพลิงแดงฉานพาดยาวไปตามไหล่เขา เสมือนงูใหญ่กำลังเลื้อยผ่านไปในเงามืด นับเป็นครั้งที่ 4 ของสัปดาห์นี้แล้วที่มันออกมาทักทายเราพร้อมกับนำผลกระทบจากค่าฝุ่น(P.M.2.5)และควันไฟซึ่งพุ่งสูงไปแตะหลัก 300 มาเป็นของกำนัลให้กับชุมชนอีกด้วย ผมหยิบกระเป๋าสัมภาระพร้อมกับเครื่องพ่นสารเคมีขนาด 25 ลิตร ที่บรรจุน้ำไว้เต็มถังตั้งแต่ช่วงเย็น จากนั้นจึงควบมอเตอร์ไซค์ภูเขาคันเก่ามุ่งไปยังจุดนัดพบห้วยหลวงซึ่งมีชายวัยกลางคนจำนวนหนึ่งจับกลุ่มกันพูดคุยกันอยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือผู้นำชุมชนซึ่งต้องรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการภารกิจพิชิตไฟป่าในครั้งนี้ไปโดยปริยาย ผมรับฟังสถานการณ์คร่าวๆว่ามีเปลวเพลิงกองใหญ่ไม่แน่ชัดว่าข้ามเขามาจากฝั่งแพร่ หรือเกิดจากฝีมือของคนหาของป่าในพื้นที่ พวกเราจึงแบ่งกำลังกันเป็นสองกลุ่มเพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยมีวิทยุสื่อสารเป็นช่องทางการติดต่อ โดยเป้าหมายของภารกิจนี้คือจำกัดความเสียหายให้ได้มากที่สุด โดยเริ่มจากตีนเขาไปจนถึงจุดนัดพบบนยอดดอยผาพึม ปฏิบัติการในครั้งนี้ผมถูกจัดให้อยู่ทีมที่สองซึ่งนำทีมโดยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถาวร แม่ทัพผู้ผ่านสมรภูมิไฟป่ามาอย่างโชกโชนเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี สืบเนื่องจากบริเวณนี้เป็นป่าต้นน้ำซึ่งบริหารจัดการโดยชุมชนส่งผลให้ทุกคนต้องรับหน้าที่เป็นทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปพร้อมกัน พวกเราใช้เส้นทางขึ้นเขาทางฝั่งซ้ายซึ่งอุดมไปด้วยป่าไผ่และใบไม้แห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากพื้นที่มีความลาดชันสูง เราใช้เวลาเดินทางนานนับชั่วโมงกว่าจะถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งในขณะนี้ไฟได้ลุกลามไปเป็นบริเวณกว้างแล้ว เวลาไม่คอยท่า สถานการณ์รอช้าไม่ได้ พวกเรารีบวางสัมภาระลงไว้ในจุดที่ปลอดภัยพร้อมทั้งกระจายตัวกันออกไปควบคุมไฟตามจุดต่างๆ บางคนมีใช้กิ่งไม้ซึ่งหาได้ในพื้นที่ บางคนใช้เครื่องเป่าลมที่ชาวบ้านร่วมกันเรี่ยไรเงินทองบริจาคให้เพื่อใช้ในภารกิจต่างๆ จนกระทั่งเวลา 23.30 น. เราก็ได้ควบคุมสถานการณ์ได้เกือบทั้งหมด จากนั้นเราจึงใช้เครื่องพ่นสารเคมีที่บรรจุน้ำไว้เต็มถังดับไฟตามจุดต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามอีกครั้ง พร้อมกับทำแนวกันไฟแยกใบไม้ออกจากจุดเกิดเหตุในระยะห่างประมาณ 10 เมตร เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไฟป่าจุดนี้จะไม่กลับมาสร้างความเสียหายได้อีก สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการที่เราได้คิดค้นและวางแผนการทำงานมาร่วม 10 ปีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการหยุดยั้งไฟป่าในพื้นที่นั่นเอง ภารกิจนี้เหมือนจะง่ายดายกว่าที่เราคิด แต่บางครั้งโชคชะตามันมักจะเล่นตลกกับชีวิตคนเราเสมอ เมื่อเสียงปะทุของก้อนหินและไม้แห้งดังมาจากด้านหลังของเราพร้อมกับเปลวไฟสูงราวสิบเมตรที่กำลังมอดไหม้ใบไม้และหญ้าแห้ง มันกำลังบ่งบอกว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ “ถูกล้อม” นั่นเอง สถานการณ์ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน จะเดินต่อไปสถานการณ์ก็ไม่ดี จะถอยหนีก็ไม่ได้ หน่วยกล้าตายจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านี้ได้อย่างไรโปรดติตามได้ในตอนต่อไป ภาพประกอบโดยผู้เขียน