ความอึกทึกของเมืองใหญ่ถูกกั้นไว้ด้วยปราการขุนเขา เมื่อเราผละตัวเองออกมาสัมผัสเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บนดอย ณ ปลายสุดขอบตะวันตกทางภาคเหนือ แดนดินที่หลอมรวมชาวไทยใหญ่และชาวไทยภูเขาหลากเผ่าไว้หลายชั่วอายุคน สายเลือดของผู้คนยังคงเติบโตบนรากเหง้าวัฒนธรรมเดิม รวมไปถึงสิ่งนึกคิดที่สะท้อนออกมาในนิยามของคำว่า “ศรัทธา” แห่งบรรบุรุษและพระพุทธศาสนาที่ฝังแน่นอยู่ในวิถีชีวิตมายาวนาน ในโลกที่มีแต่ผู้คนแย่งกันส่งเสียง “แม่ฮ่องสอน” น่าจะเป็นดินแดนที่ความเงียบและความงามกังวานทั่วหุบเขา ยามฤดูฝนห่มคลุม แม่ฮ่องสอนนั้นงดงามในทุกอณูสีเขียวจริงๆ เราเรียกช่วงนี้ว่าเป็น Green Season เหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อน การเดินทางสะดวกปลอดภัยไม่ต้องผ่านเส้นทางคดโค้งให้ต้องเวียนหัวเมารถเหมือนในอดีตเพราะมีเที่ยวบินตรงบินถึงทุกวัน ช่วยประหยัดเวลาเดินทางได้มาก ภาพจำแรกเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินแม่ฮ่องสอน คือ เทือกเขาน้อยใหญ่ปกคลุมด้วยต้นไม้สีเขียวสดตั้งตระหง่านอยู่รอบด้านของสนามบินเล็กๆ หมอกฝนขาวนวลตาลอยฟุ้งโอบล้อมราวกับอ้าแขนต้อนรับเราไว้ในอ้อมกอดของมิตรสหายที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน เราจ้างรถรับส่งจากสนามบินเข้าที่พักไม่ถึงห้านาทีก็มาถึง ปิยะเกสต์เฮ้าส์ รีสอร์ทขนาดเล็กตั้งอยู่ใจกลางเมือง เจ้าของที่พักบอกว่าคืนนี้มีลูกค้าแค่สองห้องคือเราและเพื่อนของเราเท่านั้น! ห้องพักคืนละ 700บาทเหมือนได้เหมาทั้งรีสอร์ทเลย ฮ่า ๆมาเที่ยวหน้าฝนมันช่างแสนดีอย่างนี้นี่เอง DAY 1 หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเราก็เดินเท้าออกมาสำรวจที่เที่ยวใกล้ๆที่พัก นั่นคือ "วัดจองคำ-จองกลาง วัดแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองแม่ฮ่องสอนเพราะสร้างขึ้นเป็นวัดแห่งแรกของเมือง สิ่งที่สวยงามสะดุดตาเห็นจะเป็นศิลปะไทใหญ่ผสมพม่าด้วยซุ้มวิหารหลังคาซ้อนชั้นตกแต่งลวดลายฉลุสังกะสีอย่างวิจิตรบรรจงโดยช่างฝีมือพื้นบ้านชาวไทยใหญ่ (ขอกราบซูฮกฝีมือช่างจริงๆ) สำหรับคนที่ชื่นชอบงานพุทธศิลป์ภายในวัดยังมี “พระเจ้าอินทร์สาน” ที่สานด้วยตอกหรือไม้ไผ่มุงทั้งองค์น่าศรัทธาและน่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก หลังกราบพระเสร็จ ก็บังเอิญไปพบกับเจ้านกกิงกะหร่ากับโต เป็นศิลปะการแสดงของชาวไทใหญ่ จึงขอถ่ายรูปด้วยสักหน่อยซึ่งน้องๆนักแสดงบอกว่าแต่งกายมาซ้อมการแสดงที่ถนนคนเดินเย็นนี้ที่หน้าวัดจองคำจองกลาง ซึ่งเป็นรายได้ที่เด็กๆจะได้ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไปแม่ฮ่องสอนก็อย่าลืมไปชื่นชมและสนับสนุนการแสดงของน้องๆกันนะคะ ก่อนอาทิตย์จะลาลับ เราเดินทางไปต่อที่ "วัดพระธาตุดอยกองมู" ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน ตั้งเหนือความสูง 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง สามารถมองเห็นสนามบินและตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้ไกลสุดลูกหูลูกตาโดยเฉพาะบรรยากาศยามเย็นนั้นเหมาะแก่การมานั่งชมวิวที่ "ร้านกาแฟก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา" กาแฟไม่ถึงหลักร้อย แต่วิวหลักล้าน+++เลยทีเดียว DAY 2 เราตื่นแต่เช้าราวตี5 ออกมารอตักบาตรพระที่ “สะพานไม้ไผ่ซูตองเป้" ชาวบ้านที่นั่นบอกว่า ซูตองเป้ เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า การอธิษฐานขอความสำเร็จ หากเดินมาถึงจุดกึ่งกลางระหว่างสะพาน ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอพร แล้วเดินข้ามสะพานไป จะพบกับความสมหวังดังที่อธิษฐานไว้ ว่าแล้วก็เดินข้ามสะพานถ่ายรูปเล่นกันไป ระหว่างทางเดินมีคุณลุง คุณป้ามารอตักบาตร แต่งกายด้วยชุดประจำถิ่นน่ารักมาก เมื่อคืนฝนพรำทั้งคืน ทำให้เช้าวันนี้อากาศบริสุทธิ์แจ่มใสสุดๆ หมอกขาวลอยคลุ้งปกคลุมทุ่งนา พระหลายรูปเดินออกจากวัดเป็นแถวยาวมารับบาตรชาวบ้านที่นั่งเรียงรายบนสะพานไม้ไผ่ ความสุขสงบที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ยังผลให้จิตใจเราแช่มชื่นเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก อยากให้ทุกคนมีโอกาสมาที่นี่ได้มาสัมผัสโมเมนต์นี้จริงๆว่ามันสร้างความสุขให้ชีวิตได้มากเหลือเกิน เมื่ออิ่มบุญแล้วเราก็แวะไปอิ่มท้องกันที่ "กาดสายหยุด" เป็นตลาดพื้นบ้าน มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพืช ผัก ผลไม้ ไปจนถึงอาหารปรุงสุก ทั้งอาหารพื้นเมือง และอาหารไทใหญ่ หลังจากนั่งกินของพื้นเมืองในตลาดไม่นานนัก ก็ไปแวะรับกาแฟสดแก้ง่วงกันที่ร้าน "Coffee Morning" ร้านกาแฟที่อยู่คู่เมืองแม่ฮ่องสอนมายาวนาน มีทั้งกาแฟและที่พักให้บริการ บรรยากาศร้านแบบโอเพนแอร์สามารถนั่งชิลๆรับลมได้ทั้งวัน มีหนังสือเยอะแยะให้อ่านเพลินๆ DAY 3 "สะพานข้าว ก้าวเพื่อสุข"ที่บ้านผาบ่อง เป็นที่เที่ยวแห่งใหม่(มาก)ของแม่ฮ่องสอน จึงอยู่นอกลิสต์โปรแกรมครั้งนี้ เรามาตามคำแนะนำของคนเมืองแม่ฮ่องสอนเลยจริงๆ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆเหมือนกัน ที่นี่เป็นชุมชนเล็กๆที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านแท้ๆทั้งชาวไทใหญ่และชาวปกาเกอะญอ สำหรับคนมีเวลาน้อยสามารถเที่ยวได้แบบเช้าไปเย็นกลับ เราได้เดินเล่นและนั่งหย่อนใจชมทุ่งนาสวยๆอย่างสบายตาสบายใจไม่เร่งรีบเหมือนได้มาชาร์จพลังชีวิตแบบเต็มๆ ติดริมสะพานไม้ไผ่จะมีร้านอาหารของชาวบ้าน สามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มมาทานแล้วมองวิวทุ่งนาไปด้วย ช่วงเวลานี้เหมาะแก่การมาเจริญอาหารดีแท้ๆ แต่ถ้าอยากลงไปใช้ชีวิตให้กลมกลืน ก็ต้องเอาตัวเองไปคลุกคลี ที่นี่จึงเปิดบริการบ้านพักแบบโฮมสเตย์กลางนาข้าวแถมมีกิจกรรมสนุกๆให้ทำและเรียนรู้ตามแนวเศรษฐกิจแบบพอเพียง ทั้งการทำนา ทำน้ำมันจากถั่วลิสงธรรมชาติ ด้วยชาวบ้านร่วมมือทำกันเองเราจะได้เห็นน้ำใจอัธยาศัยไมตรีที่ไม่เคยได้เห็นจากที่ไหนแน่นอน เราเที่ยวอยู่บ้านผาบ่องจนฝนพรำกระทั่งฝนหยุด แม้สายฝนจะทำให้ป่าเขายอดดอยเยือกเย็นเพียงใด เราเองอบอุ่นใจเสมอเมื่อได้มาที่นี่ ... เครดิตภาพโดยนักเขียน Jpop