เมื่อผ่านพ้นกลางเดือนเมษายน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทางตอนเหนือของประเทศไทยเริ่มย่างเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุมแล้ว หากปีใดที่ฤดูกาลไม่ผิดแผกแปลกไปเพราะมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่สมดุล ราวต้นเดือนพฤษภาคมสายฝนก็เริ่มที่จะร่วงหล่นโปรยปรายลงสู่ขุนเขาดงดอย ไม่นานนักความสดชื่นคืนสู่สีเขียวก็กลับสู่ผืนป่า ซึ่งหากมองถึงการท่องเที่ยวหลายคนคงจะเลี่ยงที่จะเดินทางในช่วงฤดูกาลนี้ด้วยสายฝนที่อาจจะนำมาซึ่งความยากลำบากของการเดินทาง แต่หากเลือกจังหวะตรวจสอบการพยากรณ์อากาศที่ทุกวันนี้ค่อนข้างมีความแม่นยำแล้วเลือกเดินทางในวันที่ปราศจากสายฝน จะพบว่าฤดูกาลนี้มีเสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะผืนป่า ท้องนา ที่เริ่มกลับฟื้นคืนสีเขียว ฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงหน้าฝน หรือ Greenery Season ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แน่นอนครับ ครั้งนี้ผมจะพาทุกท่านไปพบกับแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่หลายคนล้วนแต่ชอบเดินทางมาสัมผัสของบรรยากาศและอากาศของที่แห่งนี้ในยามฤดูหนาว เมืองเล็ก ๆ กลางป่าเขาที่มีเสน่ห์ของธรรมชาติมากมายชวนให้ค้นหา แต่วันนี้ผมจะพาทุกคนฝ่าสายฝนไปท่องเที่ยวกันเพื่อสัมผัสอีกมุมมองที่แตกต่างของเมืองในหุบเขาและสายหมอกแห่งนี้ ที่นี่ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน การเดินทางมาอำเภอปายนั้นทุกวันนี้สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบาย โดยหากเดินทางด้วยรถสาธารณะ สามารถซื้อตั๋วและขึ้นรถตู้โดยสารจากสถานีขนส่งอาเขตเชียงใหม่และดิ่งตรงมาที่จุดหมายปลายทางได้ในระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ หรือหากจะเดินทางไปด้วยตนเองสามารถเดินทางได้ 2 เส้น ทาง คือ เส้นทางที่ 1 วิ่งไปตามถนนหมายเลข 107 เริ่มจากแยกข่วงสิงห์มุ่งสู่อำเภอแม่ริม เมื่อถึงสี่แยกก่อนมุ่งไปอำเภอแม่แตงให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1095 มุ่งตรงสู่อำเภอปายในปลายทาง และเส้นทางที่ 2 วิ่งเมื่อออกจากสถานีขนส่งอาเขต เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เมื่อถึงสามแยกฟ้าฮ่ามให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 1001 มุ่งสู่อำเภอพร้าว เมื่อผ่านย่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้จะมีให้เลือก 2 เส้นทาง คือ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 1260 ตรงสามแยกโรงพยาบาลสันทรายถนนจะไปจรดกับถนนหมายเลข 107 แล้วเพื่อมุ่งสู่อำเภอแม่ริม และไปบรรจบสี่แยกก่อนมุ่งไปอำเภอแม่แตงให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1095 หรือจากสามแยกโรงพยาบาลสันทรายให้ตรงไป อีกประมาณ 5 – 6 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1414 ซึ่งจะไปบรรจบกับสี่แยกก่อนมุ่งไปอำเภอแม่แตงให้ขับตรงไปเข้าสู่ถนนหมายเลข 1095 การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินทางในช่วงเดือนสิงหาคม เนื่องจากเป็นระยะเวลากลางฤดูฝนที่จะมีช่วงฝนทิ้งระยะซึ่งจะปลอดภัยระหว่างการเดินทางที่ไม่ต้องเสียงเจอฝนตกกลางทาง และไม่ลืมที่จะตรวจสอบสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาก่อนเดินทางอีกครั้ง และการเดินทางมาอำเภอปายในช่วงนี้จะได้สัมผัสกับท้องทุ่งนาสีเขียวชอุ่มอย่างไม่พลาดแน่นอนครับ และผมเลือกที่จะไปกับมอเตอร์ไซต์คู่ใจของผม โดยเดินทางไปเรื่อย ๆ อาศัยช้าแต่ชัวร์ ด้วยต้องระวัดระวังสภาพถนนในบางช่วงที่อาจเกิดการชำรุดจากดินโคลนถล่มก่อนหน้าได้ ถึงจุดวิวโค้งงาม และบริเวณจุดพักริมทางป่าห้วยน้ำดังจึงขอแวะพักครึ่งทางถ่ายรูปสวย ๆ สักหน่อย จากนั้นเดินทางต่อโดยผมใช้เวลาเดินทางช้ากว่ากำหนดเวลามาตรฐานเล็กน้อย ประมาณ 3 ชั่วโมง เมื่อมาถึงตะวันก็เริ่มจะลาลับขอบฟ้า จึงตัดสินใจไม่แวะถ่ายรูปตรงบริเวณสะพานประวัติศาสตร์ แต่ขอไปเก็บบรรยากาศพระอาทิตย์ยามเย็นบนดอยวัดพระธาตุแม่เย็นก่อนดีกว่า บรรยากาศและแสงกำลังสวยเลยครับ ก่อนเข้าที่พักที่ผมขอแวะไปหาซื้ออาหารมือเย็นรับประทานเสียก่อน และที่พลาดไม่ได้เลยครับ เมื่อมาถึงอำเภอปายต้องได้ลิ้มลองกับขนมหวานของชาวไทใหญ่ “ข้าวปุกงาดำ” ซึ่งก็คือข้าวเหนียวดำที่ผ่านการตำนวดจนเหนียวแล้วนำไปแผ่เป็นแผ่นตากให้แห้ง นำมาย่างไฟ ให้สุกหอม หรือถ้าไม่นำไปตากเป็นแผ่นก็จะนำข้าวที่ตำนวดนั้นมานึ่ง คลุกด้วยงาดำ หรืองามนที่เป็นงาพื้นถิ่นของชาวไทใหญ่ ราดน้ำน้ำอ้อยเชื่อม หรือนมข้นหวาน ค่ำลงวันนี้ ผมเลือกที่จะนอนพักที่รีสอร์ทเล็ก ๆ กลางเมืองอันเงียบสงบ ที่ชื่อว่า ปายีรีสอร์ต ซึ่งราคาที่พักในฤดูนี้ถือว่าไม่แพงครับ คืนละ 500 บาท กับสถานที่ตั้งใจกลางเมืองแบบนี้ ค่ำลงวันนี้ขอพักผ่อน พร้อมใช้บริการอินเตอร์เน็ตของที่พักที่สัญญาณ Wifi ถือว่าแรงใช้ได้เลยครับ เช้าวันรุ่งขึ้นกับอากาศที่สดใส เดินออกมานอกระเบียงห้องพักสัมผัสกับกลุ่มหมอกเมฆที่พักเลียบเหลี่ยมเขาในยามเช้า เป็นอีกหนึ่งยามเช้าที่แสนจะสดชื่่น ใครจะไปคิดว่ากลางเมืองแบบนี้จะมายืนสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดได้แบบนี้ จัดแจงเก็บสัมภาระก็เกือบ 8 โมงเช้า ตั้งใจจะไปเดินสำรวจตลาดเช้าแต่ก็วายไปเสียสิ้น โชคยังดีที่ได้ลิ้มชิมรสปาท่องโก๋เมืองปายเจ้าเด็ด ที่มีความกรุบกรอบด้านนอกเมื่อกัดเข้าปากแล้วจะได้สัมผัสกับความนุ่มหยุ่น ๆ ของแป้งสูตรเฉพาะ และดูเหมือนจะเหลือเป็นชุดสุดท้ายพอดิบพอดี ฮ่า ๆ ๆ ลองท้องเบา ๆ เรียบร้อย ถึงเวลาออกไปสำรวจท้องทุ่งนากับข้าวสีเขียว ผมขับมอเตอร์ไซต์ไปตามถนนเส้นทางไปวัดน้ำฮู แวะถ่ายรูปทุ่งนากับวิวสวย ๆ ซึ่งใช้เวลาดื่มด่ำกับนาข้าวค่อนข้างนานก่อนจะไปปิดท้ายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดน้ำฮู และไม่ลืมที่จะไปกราบสักการะเจดีย์ที่เชื่อว่าเป็นที่บรรจุผอบใส่ปอยมวยผมของพระพี่นางสุพรรณกัลยา เมื่อครั้งที่ก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตพระนางได้ฝากมากับนางรับใช้คนสนิทให้นำมาถวายแด่พระองค์ดำให้จงได้ เมื่อพระองค์ดำเดินทางมาถึงบริเวณวัดนี้พระองค์จึงทรงปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์และบรรจุผอบปอยมวยผมของพระพี่นางไว้ภายใน ออกจากเส้นวัดน้ำฮู ผมขวาเลี้ยวซ้ายไปสำรวจนอกเมืองปายด้านที่จะมุ่งไปอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนสักนิด บังเอิญเห็นลานดอกหญ้ากำลังออกดอกสวยงาม แต่เป็นที่เอกชนเสียด้วย เอ๊ะ! แต่เปิดประตูทางเข้าอยู่คงไม่มีปัญหาอะไรนะ ผมเลยวิสาสะเข้าไปถ่ายรูปสักหน่อย หลังจากนั้นก็ขับรถแวะเข้าเมืองปายสักพักหาอาหากลางวันรับประทานก่อนเดินทางกลับเชียงใหม่ยาว ๆ เมื่อเวลาผ่านไปบ่ายโมงเศษ ๆ ถึงเวลาเดินทางกลับ แวะถ่ายรูปตรงสะพานประวัติศาสตร์ก่อนสักนิด เลยออกมาจากสะพานประวัติศาสตร์ มองไปทางด้านขวามือจะพบกับทุ่งนาสีเขียวสวยงามเป็นผืนกว้างสุดลูกลูกตา แน่นอนครับผมเก็บภาพอันสวยงามนั้นมาฝากทุกคนกันด้วย สดชื่นใช่ไหมละครับ จบลงแล้วกับทริป 2 วัน 1 คืนของผมที่เมืองปายในฤดูฝน สิ่งที่ได้ยินยลและแตกต่างก็คือ ความสดชื่นของธรรมชาติที่พร้อมจะฟื้นฟูและผลิบานต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในฤดูหนาวที่จะมาถึง ความเงียบสงบของเมืองปายที่หาสัมผัสไม่ได้ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงการมาที่นี่ครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ในยามค่ำคืนแม้ช่วงกลางฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวเหมือนจะหนาตากว่าปกติแต่ก็สุดแสนจะเงียบสงบ ด้วยผู้คนยังไม่พลุกพล่านแออัดเฉกเช่นทุกวันนี้ สิ่งนี้ คือ ปัญหาด้านการบริหารจัดการที่ทุกภาคส่วนและท้องถิ่นต้องช่วยกันวางแผนและดูแลร่วมกัน ซึ่่งหากเราปล่อยให้การเติบโตของเมืองขยายไปเรื่อย ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวให้ได้มากขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด สุดท้ายปัญหาความแออัด การจัดการทรัพยากร ความเสียหายของระบบธรรมชาติ ส่งผลเสียทั้งระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงขึ้นและระบบนิเวศที่ถูกรบกวนจากมนุษย์จนมากเกินไปซึ่งก่อให้เกิดเป็นวิกฤติที่อาจจะทำลายเสน่ห์ของเมืองปายลงให้หมดมนต์ขลังของเมืองในม่านหมอกกลางหุบเขาอันเงียบสงบนี้ไปในที่สุด ร่ายมาเสียยาว ฮ่า ๆ แต่ก็ขอฝากไว้ให้พวกเราทุกคนได้คิดกันนะครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ