หลังจากตัดสินใจลาออกจากงานประจำ สิ่งที่ตัวเองตั้งใจอยากจะทำอย่างหนึ่งคือการขับมอเตอร์ไซต์จาก กทม. แบกเต็นท์และสัมภาระบางส่วนขับไปเรื่อย ๆ แวะพักตามอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ ของประเทศไทย แต่มอเตอร์ไซต์แค่ 150 cc จะพาตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน สำหรับผมแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ cc ของรถที่ขับ แต่มันอยู่ที่หัวใจของผมว่ากล้าพอที่จะก้าวข้ามความกลัวในใจของตัวเองได้หรือป่าว ? บันทึกการเดินทางไกลครั้งนี้มันคือการพิสูจน์ใจตัวเอง ความสำเร็จของการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้ถูกชี้วัดด้วยสถานที่-ระยะทาง-ผู้คน แต่การพาตัวเองกลับบ้านมาหาครอบครัวและคนที่เรารักได้อย่างปลอดภัย สำหรับผมแล้วมันคือความสำเร็จของการเดินทางอย่างแท้จริง ในบทความนี้ผมจะเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปตามเส้นทาง เชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน เป็นเรื่องเล่าในรูปแบบบันทึกไดอารี่ที่ผมได้เขียนลง Facebook เพื่ออัพเดตการเดินทางของตัวเองในแต่ละวัน การเดินทางในครั้งนี้ได้ให้ประสบการณ์ที่ดีกับผมหลาย ๆ อย่าง ชอบมากที่สุดเลยก็คงเป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอน "ปาย" สถานที่ ๆ ทำให้ผมได้คุยกับผู้คนเยอะที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ คนท้องถิ่นหรือแม้แต่คนชนเผ่า ที่นี่ทำให้ผมมีพลังใจ มีพลังบวกเพิ่มขึ้นเยอะมาก ๆ บรรยากาศและสถานที่ก็ส่วนนึง แต่การได้คุยกับคนเยอะ ๆ นี่ช่วยขัดเกลาความคิดได้เป็นอย่างดี เชียงใหม่ - ปาย วันนี้ตื่นเช้าเพราะอยากรีบลงจากดอยสุเทพ หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จก็ได้มุ่งหน้าสู่อำเภอปายทันที ได้แวะตามสถานที่ต่าง ๆ เท่าที่อยากจะจอดแวะ วันนี้เป็นวันที่รู้สึกตื่นเต้นอีกหนึ่งวันเพราะจะได้ขับรถไปในเส้นทางที่ถูกยกย่องว่าโค้งเยอะสุด บรรยากาศที่หนาวเย็นบวกกับเพลงเพราะ ๆ ที่ได้เปิดฟังขณะขับรถจึงทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างมาก ขับมาเรื่อย ๆ จนถึงเมืองปาย ครั้งแรกของผมสำหรับการมาเยือนที่แห่งนี้ ผมไม่เชื่อคำพูดของใคร ที่บอกว่าปายไม่สวยเหมือนแต่ก่อน ผมคิดว่าต่อให้เป็นสถานที่เดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกันแต่มุมมองที่ได้เห็นก็คงไม่เหมือนกันแน่นอน การได้มาเห็นด้วยตาตัวเองสามารถลบภาพคำพูดเหล่านั้นได้อย่างสิ้นเชิง ผมหาสถานที่กางเต็นท์ริมน้ำบรรยากาศดีมาก ๆ ได้ฟังบทเพลงเพราะ ๆ จากคนเล่นดนตรีอยู่แถวนั้น “บรรยากาศดี ๆ กับบทเพลงดี ๆ ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก” หลังจากที่คิดว่าจะค้างที่ปายซักคืนเพื่อพักร่างกายแล้วเดินทางต่อไปยังที่อื่น ผมกลับเปลี่ยนความคิดตั้งใจจะอยู่เที่ยวเมืองนี้แบบจริงจัง แต่ตัวผมเองอาจจะเป็นคนที่ชอบเที่ยวไม่เหมือนใคร ชอบไปเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ชอบไปคุยกับผู้คน ชอบไปสัมผัสวิถีชีวิต ไปลองกินอาหารท้องถิ่น ชอบไปเห็นในสิ่งที่ยังไม่ถูกปรุงแต่ง ในวันถัดมา ผมก็ได้ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในปายไม่ว่าจะเป็นวัดศรีดอนชัย, วัดพระธาตุแม่เย็น, ไปแช่น้ำแร่ที่โปร่งน้ำร้อนไทรงาม, ดูพระอาทิตย์ตกที่กองแลน, สะพานประวัติศาสตร์, ถนนคนเดิน, หลังจากที่ได้มองปายผ่านสถานที่ ผู้คน วิถีชีวิต ผมคิดว่าปายมีทุกสิ่งเพื่อคุณ ถ้าคุณชอบธรรมชาติก็มีสถานที่ให้คุณไป ถ้าคุณชอบเสพย์งานอาร์ตงานศิลปะมันก็มีสถานที่ให้คุณไป ถ้าคุณชอบปาร์ตี้มันก็มีสถานที่ให้คุณไป ถ้าคุณชอบกินมันก็มีของกินมากมายให้คุณได้อิ่มอร่อย แต่สำหรับผมปายคือสถานที่ ๆ ทำให้ผมหยุดคิดและทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ เป็นสถานที่ ๆ สร้างทัศนคติและแรงจูงใจชั้นดี เพราะสถานที่ก็ส่วนนึง แต่ปายทำให้ผมได้พบเจอคนที่มีทัศนคติที่ดี ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกับเพื่อนต่างชาติมากมาย ได้ให้กำลังใจซึ่งกันและกันเพื่อให้ต่างคนต่างไปถึงจุดหมายปลายทางตามที่แต่ละคนได้ตั้งใจไว้ คุณเคยเชื่อในคำนี้มั้ย “การเจอกันแม้เพียงครั้งเดียวอาจจะถูกเปลี่ยนเป็นมิตรภาพตลอดไป” ปาย – อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ขณะกำลังดื่มกาแฟ มีเสี้ยวความคิดวิ่งเข้ามาถามผมว่า “มาถึงที่นี่ทั้งทีจะไม่ลองไปห้วยน้ำดังหน่อยหรอ ?” ผมคิดว่าไม่รู้จะมีโอกาสได้มาที่นี่อีกเมื่อไหร่ หรือบางทีอาจจะไม่มีโอกาสอีกก็ได้ ผมเลยตัดสินใจมุ่งหน้าขับมอเตอร์ไซต์ย้อนกลับไปที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังและค้างแรมที่นั่นหนึ่งคืน ซึ่งสถานที่ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ผมเลือกสถานที่กางเต็นท์ที่ไม่ค่อยมีผู้คน บรรยากาศเงียบสงบ อากาศหนาวเย็น และเป็นคืนที่มองดาวบนท้องฟ้าได้สวยที่สุดอีกหนึ่งคืน อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง – ปางอุ๋ง ตื่นเช้ามาวันนี้บรรยากาศสวยงาม อากาศหนาวเย็น แต่ก็เจอเรื่องราวที่ไม่คาดคิดอีกวันคือ เมื่อคืนลมพัดแรงจนทำให้มอเตอร์ไซต์ที่ผมจอดไว้ล้มลง คลัทช์ส่วนปลายหักแต่ยังพอที่จะขับไปได้อย่างยากลำบาก เส้นทางกลับปาย ทางลงเขาโค้งเยอะผมต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม และขับอย่างช้า ๆ เพื่อความปลอดภัย แต่ข่าวร้ายคือเมื่อถึงปายผมหาอะไหล่ตามร้านซ่อมรถแทบจะทุกร้าน ปรากฏว่าไม่มีร้านไหนมีอะไหล่เปลี่ยนเลย ความคิดเกิดความสับสน ใจนึงก็อยากขับกลับเชียงใหม่เลย อีกใจนึงก็อยากจะไปให้ถึงแม่ฮ่องสอน “มันอาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ได้ทำอะไรแบบนี้หรือเปล่านะ ? โอกาสที่ใคร ๆ ต่างฝันที่จะทำแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ แล้วถ้ามันเป็นโอกาสครั้งเดียวของชีวิตที่ได้ทำหล่ะ ? ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุดไปเลย” หลังจากคุยกับความคิดของตัวเองจบลง ผมเลือกที่จะสู้ต่อ แม้จะเดินทางด้วยความไม่มั่นใจ แต่ผมยืนยันว่าจะทำความฝันครั้งนี้ให้สำเร็จ วันนี้เป็นวันที่เดินทางใช้เวลายาวนานและช้ากว่าปกติ เวลาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ผมสงสารรถมาก ถึงแม้รถมันจะไม่มีชีวิตแต่ผมคิดว่ามันคือเพื่อนร่วมทาง เมื่อตัดสินใจที่จะมาแล้ว ต้องคิดว่าตัวเราและรถคือหนึ่งเดียวกัน ไปด้วยกันต้องรู้ใจกัน ช่วยดูแลกันฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคไปด้วยกัน ขับมาเรื่อย ๆ ผมได้จอดพักรถที่ดอยกิ่วลม ไปมองวิวภูเขาให้รู้สึกสบายใจ เพื่อลดความว้าวุ่นเกี่ยวกับรถ ทันใดนั้นมีกลุ่ม Bigbike กลุ่มนึงได้ให้ผมช่วยถ่ายรูปให้ ผมยินดีและหลังจากนั้นผมขอให้พวกพี่ ๆ เขาช่วยดูและประเมินรถให้ พวกพี่ ๆ มุงดูกันแล้วก็บอกว่า “หักแค่นี้ขับต่อได้สบายแต่ถ้ามันหักมากกว่านี้คือลำบากเลย” หลังจากพวกพี่ ๆ ช่วยดูรถและเพิ่มความมั่นใจให้ผม ผมก็ได้ขับต่อไปด้วยความมั่นใจ วันนี้ผมตั้งใจจะไปค้างแรมที่ปางอุ๋ง อุทยานแห่งชาติปางตอง เป็นครั้งแรกสำหรับผมที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ เส้นทางชันมาก ๆ ในบางช่วง จนผมแอบหวั่นใจเล็ก ๆ มาถึงปางอุ๋งมืดค่ำพอดี บรรยากาศของวันนี้รู้สึกว่าหนาวที่สุดตั้งแต่เดินทางมา หลังจากที่ผมกางเต็นท์และเก็บสัมภาระต่าง ๆ เรียบร้อย จึงได้ออกมาทานข้าวที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ตรงปากทางเข้าปางอุ๋ง ความอังเอิญคือดันไปเจอกลุ่มพี่ ๆ Bigbike กลุ่มนั้นพอดี จึงได้มีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางระหว่างกัน เป็นคํ่าคืนที่รู้สึกสนุกอีกหนึ่งคืน ปางอุ๋ง – เมืองแม่ฮ่องสอน เป็นวันที่หนาวจนแทบไม่อยากลุกออกจากถุงนอน แต่ต้องกลั้นใจทนความหนาวออกไปดูบรรยากาศที่สวยงามยามเช้าของปางอุ๋งดีกว่า บรรยากาศโรแมนติกมาก ๆ หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ ผมมุ่งหน้าไปที่บ้านรักไทย แวะกินก๋วยเตี๋ยวสไตล์จีนยูนนานของชาวบ้านบริเวณนั้น คุณป้าเจ้าของร้านน่ารักมาก ๆ ชงชาสด ๆ ให้ผมได้ลองดื่ม รสชาติดีและหอมกลิ่นมะลิอ่อน ๆ เป็นมื้อเที่ยงที่รู้สึกอิ่มเอมใจมาก ๆ หลังจากเที่ยวชมบรรยากาศที่บ้านรักไทยเสร็จได้แวะเที่ยวชมน้ำตกผาเสื่อที่อยู่ระหว่างทาง จากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่เมืองแม่ฮ่องสอน ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่รู้สึกน่ารักและอบอุ่นดี ผมได้หาที่พัก Guesthouse แถววัดจองกลางเพื่อสะดวกในการเดินเล่นถนนคนเดินยามค่ำคืน เมื่อเก็บสัมภาระเสร็จผมจึงมุ่งหน้าไปกราบพระธาตุดอยกองมูและชมวิวพระอาทิตย์ตกที่นั่น กลางคืนได้เดินเล่นถนนคนเดิน ได้ลองทานอาหารไทยใหญ่และลองกินขนมที่ชื่อข้าวปุกงา แปลกแต่อร่อยมาก แม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ ตื่นมาเช้านี้ด้วยความรู้สึกที่สดชื่นและมีความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะพาตัวเองมาได้ไกลถึงแม่ฮ่องสอน หลังจากนี้จะเป็นการขับขาล่องแล้ว ความรู้สึกที่พบเจอในแต่ละวันยังเหมือนเดิม ทุก ๆ เช้าจะได้เจออากาศดี ๆ และบทเพลงเพราะ ๆ ขณะขับมอเตอร์ไซต์ บางช่วงรู้สึกตัวเองมีความสุขมาก ๆ จนถึงขั้นแหกปากร้องเพลง โยกหัว โบกมือ มันคือช่วงเวลาที่ตัวเองได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไป รู้สึกมีอิสระที่ได้ทำอะไรแบบนี้ขับรถมาได้ซักพักก็ได้แวะพักรถและดื่มกาแฟร้านเล็ก ๆ ข้างทาง มันคือเรื่องราวธรรมดา แต่ว่ามีความพิเศษซ่อนอยู่ สั่งกาแฟแค่หนึ่งแก้วแต่เจ้าของร้านชงชาสดให้ดื่มแบบฟรี ๆ รู้สึกประทับใจมาก ๆ และได้ไปหยิบหนังสือเล่มนึงที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นไม้เก่า ๆ ผมหยิบขึ้นมาอ่านไปเพียงไม่กี่หน้า ผมรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนมาเพื่อผมในช่วงเวลาแบบนี้ หนังสือเล่มนั้นชื่อ "ความเงียบ (The Spirit of Silence)" เขียนโดย John Lane เป็นหนังสือเชิงปรัชญา ผมได้เดินไปหาพี่เจ้าของร้านเพื่อขอซื้อต่อ ราคาเท่าไหร่ก็ยินดีที่จะจ่าย แต่สุดท้ายผมก็ต้องผิดหวังเมื่อพี่เจ้าของไม่ขายให้ แต่พี่เขาได้ขอที่อยู่ผมไว้ แล้วบอกว่าจะส่งกลับไปให้อีกที นี่สินะ “คุณค่าจะถูกส่งต่อไปยังคนที่มองเห็นมัน" ผมไม่ได้คาดหวังว่าพี่เขาจะส่งกลับมาให้หรอกครับ แต่ผมต้องขอบคุณมาก ๆ ที่ทำให้ผมได้เจอหนังสือที่ดีมาก ที่อ่านแล้วมันตรงกับความรู้สึกตัวเอง หลังจากขับรถมาถึงอำเภอขุนยวมมีสิ่งที่ผมต้องตัดสินใจอีกแล้วคือมีสองเส้นทางที่ไปได้ เส้นทางแรกแม่สะเรียงเส้นทางถนนดีแต่อ้อมไกล เส้นทางที่สองคือเส้นทางลัดเข้าไปทางดอยแม่อูคอ ทางจะใกล้กว่าเส้นทางแรกแต่เส้นทางไม่ดี ขึ้นเขาขึ้นดอย ห่างไกลหมู่บ้าน ผมเลือกเส้นทางที่สอง วันนี้เป็นวันที่รู้สึกวัดใจตัวเองอย่างมากที่สุด ด้วยเส้นทางที่ขรุขระตลอดระยะทาง บวกกับถนนที่ขึ้นดอยชันแบบถี่ ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกท้อใจและสงสารรถขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่คุยกับใจตัวเองบ่อยที่สุด บอกกับตัวเองว่าถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็พักแล้วค่อยไปต่อ ผมได้ขับผ่านหมู่บ้านชาวเขาหลายหมู่บ้าน จนมาถึงหมู่บ้านปางเกี๊ยะ หมู่บ้านชาวดอยพื้นที่หนึ่งของแม่ฮ่องสอน ได้จอดแวะพักรถและแวะพักทานข้าว “ขับมาเส้นทางนี้เร็วสุดแล้ว วิวก็สวย” เป็นคำพูดของแม่ค้าที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากพักจนหายเหนื่อยผมก็ได้เดินทางต่อ แวะพักรถเรื่อย ๆ จนตกตะกอนความคิดบางอย่างคือ “ถ้าหากเราโฟกัสที่ปลายทางมากจนเกินไป เราจะมองแค่ปลายทางอย่างเดียว ยิ่งไกลยิ่งท้อ แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนมาโฟกัสสิ่งที่อยู่ระหว่างทาง หาสิ่งสวยงามระหว่างทาง เราจะได้อยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันและลดความคาดหวังของตัวเองลง” ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางมันจะสอนบทเรียนให้กับผมได้ พอขับถึงแม่แจ่มผมหาอาหารเย็นและขับขึ้นดอยอินทนนท์หาที่พักกางเต็นท์ริมน้ำบรรยากาศดี ๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายให้ความรู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง และนี่คือเรื่องราวการเดินทางบทหนึ่งของเส้นทาง เชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน แต่ละสถานที่ทำให้ตัวผมได้พบเจอกับสิ่งดี ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือผู้คน และอีกห้าวันหลังจากนั้นผมก็ได้ขับมอเตอร์ไซต์ขับถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัย ผมได้เขียนบทสรุปการเดินทางของตัวเองไว้ว่า... การเดินทางไกลในครั้งนี้จบลง ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ฉายย้อนขึ้นมาในความคิดของผมเหมือนเป็นบทสรุปว่าเราได้พบเจออะไรบ้างในแต่ละวัน สิ่งใดดีก็เก็บ สิ่งใดไม่ดีก็อย่าสนใจ ไม่มีป้ายเส้นชัย ไม่มีพวงมาลัยคล้องคอ ไม่มีแชมเปญสำหรับเฉลิมฉลอง ไม่มีคนมาคอยร่วมยินดี แต่สิ่งที่ผมมีคือ “ครอบครัว” ที่รอการเดินทางกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย เพราะครอบครัวคือสิ่งที่ยํ้าเตือนว่าผมจะต้องกลับไปเจอพวกเขา และวันนี้ผมก็ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว มันคือบทสรุปของการเดินทางที่แท้จริง ครั้งหนึ่งกับการเดินทางไกลด้วยมอเตอร์ไซต์ 150 cc 19 วัน กับระยะทางกว่า 3684 km. มากกว่า 15 จังหวัดที่ได้ผ่าน มากกว่า 1 หมื่นโค้งที่ได้เลี้ยว มากกว่า 1 ร้อยคนที่ได้พูดคุย สุดท้ายรวมเป็น 1 ความทรงจำที่ดีมาก ๆ ครั้งนึงของชีวิตผมเลย ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับผม ขอบคุณครับ :) ภาพประกอบทั้งหมด โดยผู้เขียน