ความฝันสูงสุดของคนตาบอดคือการมองเห็นหน้าคนรัก มองเห็นความงดงามของโลก ความฝันสูงสุดของคนที่ไม่สามารถเดินได้คือการลุกขึ้นยืนเพื่อออกเดินทางสัมผัสความงดงามของโลกที่ธรรมชาติเนรมิตไว้ด้วยตนเอง ฉันโชคดีที่ดวงตาของฉันมองเห็นได้ทุกสิ่งอย่างและขาสองข้างของฉันก็เดินได้ดีไม่แพ้ใคร ฉันจึงเลือกที่จะออกเดินทางตามโอกาสให้คุ้มกับที่มีครบทุกอย่าง เผื่อว่าวันหนึ่งโอกาสแบบนี้จะดับสลายไม่ให้ฉันได้สัมผัสอีก ในช่วงฤดูหนาวอย่างนี้มีสถานที่อยู่ที่หนึ่งผุดขึ้นมาในหัวฉัน ซึ่งก็คือ "ดอยพุยโค" ที่ที่ใครๆ ก็ต่างว่ากันว่าสูงนักสูงหนา ความอยากพิชิตความสูงวิ่งเข้ามาโลดเต้นในความคิดฉุดกระชากลากดึงให้ฉันเดินทางไปสัมผัส จนฉันหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องรีบหาผู้ร่วมกระบวนการเพื่อปฏิบัติการพิชิตดอยพุยโคให้สำเร็จลุล่วง “พุยโค” เป็นชื่อดอยลูกหนึ่ง เป็นคำทับศัพท์ภาษาท้องถิ่นของชาติพันธุ์เผ่ากะเหรี่ยง ดอยพุยโคตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านอุมดาเหนือ ตำบลแม่คะตวน อำเภอสบเมยแห่งจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ระดับความสูง 1406 เมตรจากระดับน้ำทะเล ห่างจากตัวอำเภอสบเมย 14 กิโลเมตร เสียงนาฬิกาปลุกบอกเวลาตีห้าครึ่งดังขึ้น ฉันกับเพื่อนสาวรีบล้างหน้าแปรงฟันพร้อมคว้าหมวกอุ่นกับเสื้อกันหนาว แล้วสองล้อรถเครื่องจักรยานยนต์ก็เริ่มต้นหมุนเคลื่อนที่พาสองชีวิตฝ่าอากาศเย็นกลางความมืดไปยังสี่แยกอำเภอสบเมย จากนั้นเราก็เลี้ยวซ้ายมุ่งสู่หมู่บ้านอุมดาเหนือตามป้ายบอกทางที่ติดอยู่ข้างๆ การเดินทางเริ่มแรกถนนเป็นคอนกรีตไต่ระดับขึ้นตามไหล่เขาซึ่งไม่ชันนัก จากนั้นก็ตามด้วยลูกรังและก้อนหิน ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ บวกกับอากาศที่เย็นจนปากสั่น อีกทั้งยังมืดสนิทรอบด้าน ทำให้เราต้องเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ พยายามไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะหากตกเขาเวลานี้ก็ยากมากที่จะมีคนมาช่วยได้ ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งหนาวมากขึ้น หมอกหนาปิดทางทำให้มองข้างหน้าได้ไม่เกิน 2 เมตร ใบหน้าเราเปียกชุ่มด้วยไอจากหมอกสั่นไปทั้งตัวจนฉันอดคิดไม่ได้ว่านี่ฉันมาทรมานตัวเองทำไม เป็นการหาเหาใส่หัวชัดๆ แต่อีกใจก็มีความสุขมากบนความทรมานนี้ เพราะฉันได้สัมผัสทั้งความมืด ความเย็น ความกลัว ความตื่นเต้น ความสนุก และหลากหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกัน กลายเป็นความรู้สึกสุดพิเศษที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ฟ้าเริ่มสาง ความมืดค่อยๆ กลับกลายร่างเป็นความสว่าง สองล้อของจักรยานยนต์ฝ่าหมอกหนาเข้าสู่อุมดาเหนือมาถึงสามแยกกลางหมู่บ้านแล้วเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางแผ่นเล็ก หลังออกจากหมู่บ้านก็เข้าสู่ทางลุกรังอีกครั้ง ซึ่งเกลื่อนไปด้วยเศษหินและหลุมบ่อ แถมยังชันสูงกว่าเดิมอีกมาก ทั้งชันทั้งหักศอกถือได้ว่าตอบทุกโจทย์ของหลายคนที่ชอบท้าความสูงเลยทีเดียว สองล้อค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นดอยสูงเรื่อยๆ จนเจอลานกว้าง เราจอดรถจักรยานยนต์พักไว้ตรงนั้นพร้อมกับหมวกอุ่นและเสื้อกันหนาว แล้วเดินเข้าสู่ทางเดินเท้าที่แยกออกจากถนนสายหลักทางซ้ายมือเพื่อเดินขึ้นสู่ยอดเขาในระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร หยาดไอน้ำที่เปียกใบหน้าเหือดแห้งกลายเป็นหยดเหงื่อที่ไหลเป็นทางยาว ทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาค่อนข้างชันและแคบเป็นบางช่วง แต่ก็เดินง่ายเพราะมีราวให้จับเกือบตลอดทาง เสียงหอบด้วยความเหนื่อยของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นหลายคนตามหลังเรามาติดๆ ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจสนุกกับการเดินขึ้นดอยมากขึ้นเพราะรู้สึกถึงความเป็นทีมของผู้ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้มากขึ้น เราพูดคุยทักทายกันตลอดเวลาระหว่างทางทำให้บรรยากาศการเดินทางอบอุ่น ความรู้สึกเหนื่อยหนีหายไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อถึงจุดชมวิวบนยอดเขา ทุกคนทิ้งร่างลงกับพื้น พักให้เหงื่อแห้งระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้น รอให้หมอกเลื่อนต่ำลงเพื่อชมวิวจากจุดสูงสุด ระหว่างพักป้าคนหนึ่งก็ยื่นขวดน้ำที่เหลือครึ่งขวดแบ่งให้ฉันพร้อมกับยิ้มให้ ฉันเอ่ยขอบคุณแล้วรับน้ำมาด้วยความรู้สึกซึ้งใจในน้ำใจของเพื่อนร่วมทางนิรนามคนนี้ พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นสาดแสงทะลุผ่านไอน้ำในหมอกให้ดอยพุยโคได้รับแสงแรกของวัน หมอกหนากับแสงสีส้มสว่างปกคลุมเนรมิตให้ยอดดอยเป็นดั่งสวรรค์บนดิน เมื่อยืนอยู่บนจุดชมวิวที่ยื่นออกไปข้างหน้า ฉันรู้สึกเหมือนยืนกลางอากาศที่โล่ง เย็น และสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อมองดูคนอื่นไกลๆ จะมองเห็นคนเหล่านั้นมีลักษณะเหมือนยืนอยู่บนก้อนเมฆสีขาวละเอียดนุ่มกลางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ธรรมชาติช่างมหัศจรรย์เสียจริง ความอุ่นของแสงอาทิตย์ทำให้หมอกหนาจางลงและเริ่มแบ่งชั้นกับท้องฟ้า มันค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงทีละนิดจนกลายเป็นสุดยอดแห่งทะเลหมอกที่งดงามและกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ดึงฉันเข้าไปสู่ภวังค์ธรรมชาติอย่างไม่รู้ตัว หลังหมอกเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด โดยมีภาพทิวทัศน์งดงามไกลสุดลูกลูกหูตาขึ้นมาแทนที่ แสงอาทิตย์ทอดความสว่างให้มองเห็นยอดเขารอบทิศที่คล้าย “ทุ่งหญ้าสีทอง” ผืนกว้างโล่งๆ ซึ่งสะอาดตาไม่มีที่พักหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ตั้งรกพื้นที่ ฉันรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในภวังค์ธรรมชาติอีกครั้ง ความพิเศษของดอยพุยโคที่ผู้มาเยือนทุกท่านจะได้รับคือความท้าทายระหว่างการเดินทางที่ต้องตื่นเต้นตลอดตลอดเวลา แต่ก็เดินทางง่ายและทำให้ได้พบกับความงามของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ สามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้แบบ 360 องศา พบกับที่สุดของทะเลหมอก อุ่นตาอุ่นใจกับทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก และดื่มด่ำกับบรรยากาศความมหัศจรรย์ของธรรมชาติสุดพิเศษที่ท่านจะไม่มีวันหาเสพได้ในที่อื่นหรือตามเมืองกรุง นอกจากนี้สำหรับผู้มาเยือนที่พกเต็นท์มาค้างคืนบนยอดเขา ก็จะได้สัมผัสกับความงามของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในยามค่ำคืน และที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนจะได้รับโดยไม่รู้ตัวก็คือการได้เรียนรรู้เพื่อนร่วมทาง การได้ใช้ชีวิตในมุมใหม่ และการเอาชนะใจตัวเองเพื่อก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ แม้คุณจะร่ำรวยแค่ไหน ก็ไม่สามารถหาซื้อได้นอกจากมาสัมผัสด้วยตัวเองที่ดอย "พุยโค" ทุ่งหญ้าสีทอง วันว่าง วันหยุด วันห่วยแตก วันเบื่อโลก หรือจะวันไหนๆ ก็แวะมาพักกายพักใจกันบ้างนะ พุยโครอเธออยู่นะ ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน