หากกล่าวถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน แน่นอนว่า ทุกคนคงจะนึกถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเมืองปาย อำเภอหนึ่งทางด้านเหนือของจังหวัด บ้านรักษ์ไทย หมู่บ้านริมทะเลสาบที่ได้บรรยากาศเหมือนยูนนานในเมืองจีน และปางอุ๋ง อ่างเก็บน้ำ ท่ามกลางขุนเขา ป่าสน ที่ได้บรรยากาศของสวิตเซอร์แลนด์ พระธาตุดอยกองมู ดอยศักดิ์สิทธิ์ใจกลางเมืองศูนย์รวมใจของชาวแม่ฮ่องสอน หากไปเที่ยวทางด้านทิศใต้ก็คงได้ไปเยือนอำเภอแม่สะเรียงแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติแห่งลำน้ำสาละวิน และอำเภอขุนยวมแหล่งดอยแม่อูคอ แหล่งชมความงดงามของดอกบัวตองในมุมมองแบบพาโนรามา แต่ทว่าจะมีสักกี่คนที่รู้จักและเคยได้ไปสัมผัสถิ่นฐานบ้านเมืองแม่ฮ่องสอนในอำเภอท้ายปลายสุดด้านทิศใต้ ซึ่งหากกล่าวถึงจังหวัดเชียงใหม่ก็ต้องยกให้อำเภอเวียงแหงที่ได้สมญานามว่า “ลับแลแห่งเชียงใหม่” ส่วน “ลับแลแห่งแม่ฮ่องสอน” นั้น ผมยกให้ที่นี่เลยครับ “อำเภอสบเมย” ซึ่งวันนี้ผมจะพาทุกคนมาเยือนลับแลแดนนี้กับการเปิดตัวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่น้อยคนนักที่รู้จักและเคยมาเยือนกับดอยสูงเสียดฟ้า เด่นตาด้วยทุ่งลานหญ้ากว้างสีน้ำตาลทอง นามว่า “ดอยพุ่ยโค” การเดินทางมาดอยพุยโค ณ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน หากตั้งต้นจากเชียงใหม่ให้ใช้เส้นทางหมายเลข 108 ขับรถลัดเลาะมาเรื่อย ๆ ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างสวนสนบ่อแก้ว ออบหลวง เข้าสู่เขตแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอนทางอำเภอแม่สะเรียง เมื่อถึงทางสามแยกพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 105 ลัดเลาะเรียบลำน้ำยวมไปเรื่อย มุ่งสู่อำเภอสบเมย จากเชียงใหม่ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง ด้วยระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร เมื่อเดินทางก่อนถึงที่ว่าการอำเภอเล็กน้อย ให้สังเกตทางซ้ายมือจะมีถนนทางหลวงชนบทหมายเลจ 3004 จะมีป้ายบอกไปหมู่บ้านต่าง ๆ ตามดเส้นทางนี้ ซึ่งดอยพุยโคตั้งอยู่ในเขตบ้านอุมดาเหนือ สามารถเปิด GPS มาได้เลยจากเชียงใหม่ แต่เมื่อเลี้ยวเข้าถนนสาย 3004 แล้วให้สังเกตป้ายบอกทางด้วยตัวเองจะดีกว่าครับ เพราะอาจพาเราหลงได้ เพราะจะมีทางแยกด้านในไปหมู่บ้านอื่น ๆ อีกหลายแยก เมื่อมาถึงจุดทางขึ้น สังเกตได้จากศาลาริมทางและลานจอดรถด้านขวามือ ซึ่งที่ศาลาจะมีกลุ่มลูกหาบที่คอยให้บริการแบกสัมภาระขึ้นไปด้านบนสำหรับคนที่จะไปพักค้างแรมนอนกางเต็นท์เพื่อชมดาวตอนกลางคืนและรอชมทะเลหมดในยามเช้า ราคาค่าแบกสัมภาระจะอยู่ที่เที่ยวละ 400 บาทต่อคน ระยะทางแบกขนสัมภาระจากจุดบริการไปจนถึงยอดดอยก็เกือบ 2 กิโลเมตรอยู่ครับ สำหรับผมการมาเที่ยวดอยพุ่ยโคในครั้งนี้ถือว่ามาโดยบังเอิญครับ เลยไม่ได้เตรียมสัมภาระมาเพื่อค้างแรมด้านบน เลยตั้งใจว่าจะขึ้นไปสูดอากาศและชมวิวด้านบนสักพักแล้วค่อยลงมาด้านล่างซึ่งคืนนี้ผมคงจะต้องไปหาที่พักค้างคืนต่อในตัวอำเภอแม่สะเรียงเพื่อกลับเชียงใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น เดินเท้าไต่ระดับความชันขึ้นมาเรื่อย ๆ ทำเอาผมหอบเลยทีเดียวเพราะไม่ได้ออกเดินป่าดงดอยมานานพอควร ประกอบกับไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันมาด้วยจึงต้องแวะตรงร่มไม้กลางทางสักพัก ชั่วอึดใจก็เห็นเนินหญ้าสีน้ำตาลทองเย้ายวนใจให้เดินต่อไปให้ถึงบนยอดดอยนั้น ดอยพุ่ยโค มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเท่ากับ 1,408 เมตร คำว่า “พุ่ยโค” เป็นภาษากะเหรี่ยง จากการสอบถามเพื่อนผมผู้เป็นเจ้าของภาษาตัวจริงคำนี้มีความหมายว่า สบายหัว หรือ เบาหัว ด้วยสภาพของเนินดอยที่เป็นลานทุ่งหญ้าโล่งเตียน ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในย่านถิ่นฐานนี้จึงตั้งชื่อดอยนี้ตามสภาพลักษณะของภูเขายอดดอยที่เห็น คือ ภูเขาหัวโล้นตามธรรมชาติที่มีแต่ทุ่งหญ้า เดินเลาะแนวรั่วมาเรื่อย ๆ ผมก็ถึงจุกดหมายปลายทางละครับ หยุดพักเหนื่อย ณ ต้นไม้ใหญ่ที่ตระหง่านเห็นเด่นมาแต่ไกล โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่เพียงต้นเดียวจึงได้สมญานามว่า “ต้นเดียวดาย” แต่สำหรับผมกลับคิดว่าพี่ต้นไม้นี้น่าจะเพียงแค่โดดเดี่ยว เพราะยืนต้นอยู่เพียงลำพังเท่านั้น ส่วนความเดียวดายนั้น คงจะหายไปสิ้นเชิงด้วยมีผู้คนมากหน้าหลายตาต่างก็เวียนมาถ่ายรูปคู่กับพี่ท่านอยู่เนือง ๆ คงจะคลายหายเศร้าไปได้บ้างนะพี่เดียวดาย ฮ่า ๆ ๆ สภาพอากาศด้านบน แม้จะอยู่กลางแจ้งแต่ก็มีลมโบกพัดโชยให้ได้เย็นสบายตลอดเวลา สามารถมองชมวิวทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา เลยทีเดียว ผมนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด พักผ่อนให้คลายเหนื่อยสักพัก ก็ต้องเดินลงด้านล่าง ด้วยบ่ายคล้อยมากแล้ว กว่าจะเดินลงและขับรถออกไปถนนหลักก็น่าจะค่ำมืดแล้ว เส้นทาง 3004 นี้ เป็นทางเกวียนขึ้นเขาไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างต้องรีบลงไปก่อนตะวันตกดิน ขับรถออกมากลางทางได้สักระยะเจอจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขาสวย ๆ เลยแวะเก็บความประทับใจเป็นรูปสุดท้ายก่อนจะลาจากพุ่ยโคดอยที่แสนจะโดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดายแห่งนี้ เอาไว้โอกาสหน้าจะมานอนพักแรมชมดาวและชมทะเลหมอกยามเช้าเป็นเพื่อนพี่ต้นเดียวดายสักคืนนะ จบ สวัสดี