ในทุก ๆ ปี ที่หมู่บ้านของเราจะจัดพิธีเลี้ยงเมือง เป็นความเชื่อที่ยึดถือปฏิบัติกันมาจากรุ่นสู่รุ่นสืบมา เรียกว่า วานปะลีก เป็นการทำบุญหมู่บ้าน คล้ายกับทำบุญกลางบ้านค่ะ โดยมีความเชื่อว่า ในการจัดทำประเพณีวานปะลีกนี้จะช่วยป้องกันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง จะส่งผลทำให้คนในหมู่บ้านได้รับการคุ้มครองจากเจ้าเมือง ป้องกันอันตรายจากสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ดลบันดาลให้คนในหมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุขได้ตลอดไปด้วยค่ะ ชาวไทใหญ่เชื่อว่า วิญญาณของบรรพบุรุษหรือเป็นวีรบุรุษ ส่วนใหญ่เป็นจะนักรบ เมื่อสิ้นชีวิตจะกลายเป็นดวงวิญญาณที่มีอิทธิฤทธิ์ ชาวไทใหญ่ยกย่องให้เป็น “เจ้าบ้าน-เจ้าเมือง” และเมื่อมีการตั้งหมู่บ้านหรือสร้างเมือง ก็จะสร้าง “หอ” หรือ ศาลเจ้า เพื่อให้เป็นที่สิงสถิตของผีเจ้าเมือง เพื่อให้ปกปักรักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ทุกวันพระหลังจากถวายข้าวพระพุทธที่บ้านแล้วก็จะนำกระทงข้าวไปถวายเจ้าเมืองด้วย พิธีกรรมนี้จัดขึ้นมาสะเดาะ เคราะห์และสืบชะตาบ้านเมือง จะจัดขึ้นที่ศาลากลางบ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “เสาใจบ้านหรือเสาใจเมือง” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งหมู่บ้านหรือเมือง โดยจะถือเอาวันที่ก่อตั้งหมู่บ้านเป็นวันประกอบพิธีกรรม เช่น หมู่บ้านป่าปุ๊ ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน วันตั้งหมู่บ้านตรงกับวันพฤหัสบดี ชาวบ้านก็จะเลือกประกอบพิธีกรรมในวันพฤหัสบดี เป็นต้น ชาวไทใหญ่ จะถือเอาวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 7 เป็นวันเลี้ยงเมือง เป็นวันผีกินไก่ เนื่องจากการเลี้ยงเมืองจะต้องมีเครื่องเซ่นที่เรียกว่า เหล้าไหไก่คู่เป็นหลัก ภาคเช้าจะประกอบพิธี “เลี้ยงเมือง” ภาคบ่ายจะประกอบพิธี “วานปะลีก” เจ้าของบ้านจะเตรียมนำถังน้ำ ใส่น้ำขมิ้นส้มป่อย ใส่หินทราย ทำต๋าแหลว 7 ชั้นและ ใบไม้มงคลต่างๆ และด้ายสายสิญจน์ เข้าร่วมในการทำพิธี ช่วงเวลาทำพิธีกรรม ห้ามไม่ให้ใครเข้า-ออก หมู่บ้าน จนกว่าจะเสร็จพิธีกรรม พิธีในชวงเย็นจะเริ่ม 17.30 น. หรือ 18.00 น. เป็นต้นไป ตามแต่ละหมู่บ้านไหนจะกำหนดเวลา โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเสร็จพิธี จะนำ “ต๋าแหลว” ไปปักไว้ทางเข้าและทางออกของหมู่บ้าน และชาวบ้านก็จะแขวน “ต๋าแหลว” และใบไม้มงคล 9 ชนิดไว้หน้าประตูบ้าน และเอาหินที่โปรยในบ้าน นอกบ้าน หลังคาบ้าน เพื่อป้องกัน สิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามารังควานคนที่อาศัยในบ้านหลังนั้นด้วย ปัจจุบันการดำเนินพิธีกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาคประชาชน และภาครัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเมืองไปตามเวลา ทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ก็ไม่อาจจะค่อยเห็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันได้มากนัก จึงจะต้องเริ่มสร้างในคนรุ่นใหม่ ให้มีความเข้าใจมรดกวัฒนธรรมที่มีคุณค่าให้มีการสืบทอดต่อไป ภาพถ่ายโดยผู้เขียน blue candle