วัดหนองบัว ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เป็นวัดสำคัญอีกแห่ง ที่มีประวัติศาสตร์และความเป็นมายาวนาน และเป็นชุมชนชาวไทลื้อ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ที่ยังคงรักษาความเป็นอัตลักษณ์ไว้ได้อย่างชัดเจน สะท้อนผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดหนองบัว และ วัดภูมินทร์ โดยเฉพาะเรื่องลายผ้าซิ่นทอมือที่ประณีตงดงาม และการแต่งกายแบบชาวไทลื้อ ที่ปัจจุบันหญิงสาวเชื้อสายไทลื้อยังคงแต่งกายเป็นวิถีประจำวัน ซึ่งนอกจากความสวยงามเลื่องชื่อของ ผ้าทอ “ลายน้ำไหล” ที่เป็นลายผ้าทอมีเอกลักษณ์ของชาวไทลื้อแล้ว ยังมีผ้าทอมือลาย “ซิ่นม่าน” ซึ่งเป็นลายดั้งเดิมโบราณ ที่ยังคงมีการทอและอนุรักษ์ไว้แบบส่งต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นด้วย ซึ่งทางด้านหลังของวัดหนองบัว จะมี “เฮือนไทลื้อมะเก่า” เป็นภาษาคำเมือง ซึ่งหมายถึง เรือนเก่าของชาวไทลื้อ เป็นเรือนหรือบ้านไม้ยกพื้นสูง ที่จำลองลักษณะของบ้านชาวไทลื้อแบบดั้งเดิม มีการนำข้าวของเครื่องใช้โบราณ ห้องนอน ห้องครัว และวิถีชีวิตบนบ้านเรือนของชาวไทลื้อโบราณ มาจัดแสดงเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม โดยใต้ถุนบ้าน มีการนำกี่ทอผ้า ที่ปั่นฝ้าย มาจัดแสดงวิถีการทอผ้าของชาวไทลื้อ มีผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชน จะมานั่งปั่นฝ้ายและทอผ้า พูดคุยทักทาย และแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของหญิงสาวชาวไทลื้อที่มีความผูกพันกับการทอผ้า จากวิถีเดิมที่ทอผ้าใช้เอง ปัจจุบันกลายเป็นสินค้าโอทอปที่มีคุณค่า มีเอกลักษณ์ สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับชุมชนชาวไทลื้อบ้านหนองบัวโดยแม่อุ้ย (คุณยาย) และพี่ป้าน้าอา ที่มานั่งปั่นฝ้ายและทอผ้า ได้เล่าให้ฟังว่า นอกจากผ้าทอลายน้ำไหลแล้ว ยังมีการทอผ้าลายซิ่นม่านด้วย ซึ่งมีเอกลักษณ์ชัดเจน เป็นลายที่เรียบง่ายและประณีต และเป็นลายที่อนุรักษ์ไว้ โดยจะสอนกันจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งบรรดาแม่อุ้ยทั้งหลาย จะเริ่มหัดทอผ้ากันตั้งแต่รุ่นสาวๆ อายุ 13-14 ปี ก็ต้องเริ่มหัดปั่นฝ้าย จับกี่ทอแล้ว และลายซิ่นม่าน เป็นลายดั้งเดิมที่ชาวไทลื้อนิยมทอใส่กันด้วย ทำให้การทอผ้าของหญิงสาวชาวไทลื้อกลายเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมและส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งการมาที่หมู่บ้านไทลื้อ นอกจากจะได้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของชุมชนชาวไทลื้อ ที่อพยพมาจากเมืองล้า แคว้นสิบสองปันนา มาตั้งเป็นหมู่บ้านในจังหวัดน่าน อายุกว่า 200 ปี ทำให้มาได้สัมผัสความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังวัดหนองบัว และ เฮือนวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ ยังได้สนุกสนานกับการได้ลองปั่นฝ้ายดิบ และ กี่ทอผ้า ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือดั้งเดิม ซึ่งต้องบอกว่า มันไม่ง่ายเลย ทั้งการปั่นฝ้ายที่ต้องเอาเม็ดฝ้ายออก และ พยายามประคองเส้นฝ้ายไม่ให้ขาด หรือการนำฝ้ายที่ย้อมสีธรรมชาติแล้ว มาขึ้นทอเป็นชิ้นเพื่อขึ้นลายผ้า ซึ่งกว่าจะได้ผ้า ที่มาจากการทอด้วยมือสักหนึ่งผืน ไม่ใช่แค่ได้ลายผ้าทอสวยๆเท่านั้น แต่เส้นฝ้ายแต่ละเส้นที่เรียงตัวสลับไปมาจนกลายเป็นลายผ้า ยังเต็มไปด้วยความตั้งใจ ความอดทน ความใจเย็น และความประณีต เสมือนเป็นการส่งต่อภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา ผ่านผ้าทอที่สวยงามและจับต้องได้ ทั้งยังแฝงเรื่องราวของชาวไทลื้อ บ้านหนองบัว ไว้ได้อย่างงดงาม