น่าน นานๆนะ.... เมื่อพูดถึงเมืองท่องเที่ยวในภาคเหนือ จังหวัดแรกๆที่ทุกคนนึกถึง คงจะเป็นเชียงใหม่ เชียงราย สำหรับเราก็เช่นกัน ไปภาคเหนือมาหลายครั้งก็ไม่พ้นสองจังหวัด มีจังหวัดนึงที่เราอยากไปมานานมากๆ แต่ก็ก็ไม่ไดเมีโอกาสได้ไปสักที เป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยได้อยู่ในกระแสเท่าไรนัก แต่ระยะหลังๆก็จะได้ยินชื่อจังหวัดนี้บ่อยขึ้น และยังได้เป็น1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด ตามแคมเปญของ ททท. อีกด้วย แน่นอนว่าจังหวัดนั้น คือ น่าน นั่นเอง เริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่า เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถบัส สมบัติทัวร์ เวลา หกโมงครึ่ง ถึงน่าน ประมาณ ตี5 ครึ่ง ระหว่างทาง รถจะแวะพักทานข้าวรอบดึก แถวๆ อ.วังทอง จ. พิษณุโลก สำหรับทริปนี้ เราตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการไปจังหวัดที่อยากไปมานาน แต่ไม่มีโอกาสสักที ประมาณ ตี5 ครึ่ง เราก็มาถึงสถานี บขส. น่าน ก่อนฟ้าสว่าง เราก็ล้างหน้า แปรงฟัน เตรียมตัวออกเดินทางเที่ยวเมืองต้องห้ามพลาด เมืองที่น่าค้นหาแห่งนี้ สถานที่แรกที่เราจะต้องไปให้ได้ และเป็นไฮไลท์สำหรับทริปนี้ คือ วัดภูมินทร์ เชื่อแน่ว่าหลายๆที่เคยมาจังหวัดน่าน ต้องไม่พลาดมาวัดนี้แน่นอน เดี๋ยวเราจะพาไปดูว่ามีอะไรน่าสนใจในวัดนี้ บริเวณลานหน้าวัดภูมินทร์ หรือที่เรียกกันว่า กาดข่วงเมืองน่าน เป็นเหมือนแลนด์มาร์คของเมืองเก่าน่าน ที่นักท่องเที่ยวที่มาจากทุกหนทุกแห่งจะต้องเดินทางมา และบริเวณรอบๆข่วงนี้จะมีวัดและสถานที่สำคัญอีกมากมาย มาดูบรรยากาศภายในวัดกันดีกว่า ภายในเราจะพบพระประธานสี่ทิศ ปางมารวิชัย หันหลังชนกัน มีพุทธศิลป์ที่สวยงาม และในโบสถ์แห่งนี้นี่เองที่ หลายๆคนที่มาเที่ยวน่านมักจะมาตามหาสิ่งๆหนึ่ง นั่นก็คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ผู้ชายกระซิบข้างหูผู้หญิง (ปู่ม่านย่าม่าน) ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อสมัยโบราณ ที่เรียกกันว่า ภาพกระซิบรักบันลือโลก ภาพนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดน่านเลยก็ว่าได้ คำกลอนภาษาคำเมือง ที่แต่งขึ้นมาสำหรับภาพนี้ ว่าไว้ว่า… “กำฮักน้องกูปี้จั๊กเอาไว้ในน้ำก็กั๋วหนาว จั๊กเอาไว้ปื้นอากาศกลางหาว ก็กั๋วหมอกเหมยซ่อนดาวลงมาขะลุ้ม จั๊กเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กั๋วเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวจายปี้นี้ จั๊กหื้อมันไห้ อะฮิ อะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา” คำแปล “ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น” พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เดิมเป็น คุ้มเจ้าผู้ครองนครน่าน หรือเรียกกันว่า หอคำ สร้างโดยเจ้าเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่าน บริเวณหน้าอาคารแห่งนี้จะมีอนุสาวรีย์ของเจ้าเมืองน่าน ผู้สร้างคุ้มแห่งนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์จะเก็บสิ่งของสำคัญของเมืองน่าน และแสดงนิทรรศการที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชาติพันธ์ุวิทยาที่เกี่ยวกับจังหวัดน่าน แต่สิ่งที่เป็นมรดกชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ที่พลาดไม่ได้ที่ต้องเข้าไปชม คือ งาช้างดำ ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ได้มาจากเมืองเชียงตุง ตั้งแต่ครั้งโบราณ เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลานจึงมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน เสาหลักเมืองน่าน ตั้งอยู่ในวัดมิ่งเมือง อยู่ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ สันนิษฐานว่าอาจจะสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน เหตุเพราะแต่ก่อนมานั้นเมืองน่านไม่มีคติ การสร้างเสาหลักเมือง ถนนคนเมือง ไนท์บาร์ซาร์ อยู่ใกล้ๆกันวัดมิ่งเมือง เป็นตลาดตอนเย็นที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อหาของกิน เสื้อผ้าสไตล์ล้านนา หรือแม้กระทั่งร้านอาหาร ของกินขึ้นชื่อก็อยู่บริเวณละแวกนี้ แม่ค้าก็น่ารัก เป็นกันเอง อัธยาศัยดีอีกด้วย นี่แค่ในบริเวณเมืองเก่าน่าน ยังมีอะไรมากมายที่น่าสนใจ เมืองที่เงียบสงบ ผู้คนน่ารัก เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย พลุกพล่าน เป็นเมืองที่ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาอีกแน่นอน อยากอยู่น่าน นานกว่านี้ แต่สำหรับวันนี้คงต้องเอไว้เท่านี้่ก่อน ถ้ามีโอกาสจะกลับมาใหม่ ขออยู่น่าน นานๆ นะ... @ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน