ลูกผู้ชาย หากไม่เดินทางเที่ยวท่องไป กักตัวอยู่ในกล่องบ้านแคบ ๆ ไหนเลยจะนับว่าเป็นชายชาตรีได้.... ในชีวิตรับราชการของผม หากไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปว่า เกิดปีม้า มักจะอยู่ไม่สุขแล้วล่ะก็ คงจะเป็นพรหมลิขิต โชคชะตานำพา ให้ต้องเดินทางไปสู่จุดหมายหลาย ๆที่อย่างไม่คาดฝัน ....พ่อแม่ผมเป็นคนอิสาน แต่ผมเกิดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ หากจะถามบ้านเกิดตามภูมิลำเนาพ่อแม่ก็ต้องเป็นลูกอิสาน แต่หากจะว่าตามสำมะโนตอนคลอดจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด มีหลายคนถามว่า ผมเป็นคนที่ไหน....ไอ้ครั้นจะตอบว่าเป็นคนทุกที่ ก็เกรงว่าจะไม่สามารถเก็บปากไว้กินน้ำพริกได้อีกหลายวัน ก็เลยบอกว่า เป็นคนอิสานตามภูมิลำเนาพ่อแม่....พ่อผมมาอยู่กรุงเทพตั้งแต่อายุ 14 ขวบ ส่วนแม่ผมก็มาตอนสาวแล้ว แต่อายุเท่าไหร่ไม่เคยถามซักที เมื่อได้รับคำสั่งให้มาทำงานที่เมืองน่าน ได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เมืองน่าน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก ประสาคนเมืองน่าน พูดช้า ๆ เนิบ ๆ คำเมืองไพเราะเสนาะหู ทำให้ชีวิตแต่ละวันไม่เครียด แม้งานเรือนจำจะดูน่าเคร่งเครียดก็ตาม ชีวิตราชการผ่านมาเกือบ 30 ปี สุขทุกข์เคล้าไป เคยอยู่เมืองหล่มสักเพชรบูรณ์ มะขามหวานอร่อย เดินทางด้วยรถทัวร์ปรับอาอากาศ ใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะถึงที่พักที่ทำงาน เมื่อได้เดินทางไปรับราชการครั้งแรกก็ตื่นเต้น....เข้าคุกครั้งแรก..เมื่อเริ่มบรรจุเป็นข้าราชการ เวลาเดินเข้าไปทำงานจะรูสึกกลัวสายตานับร้อย จ้องมาที่เรา....ไอ้ตอนแรกก็นึกว่า มันจะมองหาเรื่องเรา เปล่าหรอก...เราเป็นคนใหม่เข้าไปในคุก ผู้ต้องขังก็สนใจ ใส่ใจ และมองหน้าว่าเราหน้าอ่อนรึเปล่า จะขู่เราได้มั้ย เราก็กลัวๆ อยู่นะ แต่ใจดีสู้เสือ เนียน ๆไป... อยู่เรือนจำอำเภอหล่มสัก เพชรบูรณ์ 4 ปี ก็ย้ายมาพิษณุโลก. ถนนเส้นทางจากหล่มสักเพชรบูรณ์.มาพิษณุโลก ทรหดพอสมควร ขึ้นเขาค้อ เส้นทางคดเลี้ยวเหมือนงูสวัดรัดตัว กว่าจะผ่านเขาค้อสู่พิษณุโลก ก็หวาดเสียวพอสมควร รถเก่า คนขับใหม่..ได้ใจไปเต็มๆ มีช่วงโค้งวัดใจให้ผู้โดยสารได้ลุ้นอยู่ตลอด หายใจถึ่ๆ ติดขัด บ้างก็ปิดตากลั้นหายใจไม่ทั่วท้องไปตามกัน . การเดินทางยังใช้รถยนต์โดยสารปรับอากาศ หากจะเดินทางจากกรุงเทพเข้าพิษณุโลก หรือพิษณุโลกเข้ากรุงเทพ แม้ตอนก่อนที่ผมจะย้ายที่ทำงานจะมีการเดินทางด้วยเครื่องบินแล้วก็ตาม แต่ค่าเครื่องบินก็แพงหูดับ เที่ยวละ 3 พันกว่าบาท ขณะที่ค่าโดยสารรถประจำทางปรับอากาศชั้น 1 แค่ สามร้อยกว่าบาท แพงกว่ากันเกือน 10 เท่าตัว ไม่เหมือนยุคหลัง ๆ ที่จองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าค่าตั๋วจะเพียงแค่ 500 กว่าบาทเท่านั้น ทำงานอยู่อีก 18 ปี จึงย้ายมาทำงานท่ี กำแพงเพชร อีก 4 ปี ก็ใช้เส้นทางกำแพงเพชรกรุงเทพอีก 4 ปี ถนนหนทางก็ขรุขระดุจโลกพระจันทร์เดินทางนับแสนกิโลจากกำแพงเพชรสู่กรุงเทพ_กำแพงเพชร วนเวียนพาลูกไปสู่ฝั่งฝันด้วยการเป็นข้าราชการทั้งคู่..อยู่กำแพงเพชร เมืองเงียบสงบ งานดีไม่มีปัญหา แต่เป็นช่วงต่อสำหรับลูกน้อยหอยสังข์ของผมที่เรียบจบมหาวิทยาลัยพอดี เลยต้องเดินทางจากกำแพงเพชรเข้ากรุงเทพ พาลูกไปสมัครงานราชการทุกที่ๆไปได้ งานราชการเค้าว่าน้ำซึมบ่อทราย ซึ่งหมายถึงว่ากินใช้ไม่มีวันหมด แต่จะให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีนั้น เป็นอันเลิกคิดไปได้เลย หากค่าครองชีพยังขึ้นแซงหน้าดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในปัจจุบัน การเดินทางจากกำแพงเพชร เข้ากรุงเทพ ระยะทาง 350 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ครบ 4 ปีถัดมาได้ขึ้นสู่ผู้บริหารที่สวรรคโลก สุโขทัยอีก 1 ปี ล่าสุดกันยายนนี้ได้รับคำสั่งให้มารับราชการอยู่ที่จังหวัดน่าน ถามหลายคนว่าแล้วจะไปกรุงเทพยังไง ลูกน้องบอกบินอย่างเดียวลูกพี่ ระยะทาง700 กิโล สภาพคนเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างผมคงจะขับรถไม่ไหว แม้หัวใจจะยังหนุ่มฉกรรจ์ก็ตามที เรื่องจะขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันโตๆ เท่ ๆ ความเร็วดังใจปรารถนา หรือปั่นจักรยานเสือหมอบ หรือเสือภูเขา เสือดาว หรือเสือชีตาร์ อะไรก็แล้วแต่เพื่อใช้เดินทางเป็นอันเลิกคิด แล้วถ้าจะใ่ส่รองเท้ากีฬายี่ห้อดังที่โฆษณาบนจอทีวี แล้ววิ่งแบบพี่ตูน ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งแบบก้าวคนละก้าว แบบพี่เค้า คงจะสิ้นชีพตักษัยก่อนจะเดินทางไปสู่จุดหมายเป็นแน่ จำต้องบินลัดฟ้าไปกรุงเทพฯและบินกลับเท่านั้น ว่าแล้วก็ซื้อตั๋วเตรียมเดินทาง ถึงวันก็บินไปกรุงเทพก่อน ทำตามๆเขาไป ขั้นตอนของการขึ้นเครื่องบินแบบมาตรฐาน ก็คือ เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว พอถึงวันที่จะบิน ก็ต้องนำบัตรประชาชนมาเช็คอิน ก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แม้นว่าในตั๋วจะบอกว่า 2 ชั่วโมงก็ตามที เพื่อให้แน่ใจว่า นอกจากตั๋วแล้ว ยังต้องดูหน้าตาให้ตรงกับชื่อในตั๋ว และหากมีกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องแล้วล่ะก็ ต้องไปขอใบสลิบสำหรับติดกระเป๋า และหางบัตรจะมีกาวเหนียว ๆ ไว้ฉีกติดตั๋วที่จะเอาขึ้นไปบนเครื่องบิน เข้าใจว่า หากกระเป๋าหาย (ซึ่งเคยมีบ่อย ๆ) จะได้ใช้เป็นหลักฐานสำหรับติดตามได้.... จากนั้นแสดงบัตรประชาชนและตั๋ว และกระเป๋าใบเล็ก ผ่านช่องตรวจตรวจสแกนสิ่งของต้องห้ามเช่นปืน ระเบิด และของเหลว ที่อาจใช้ประกอบระเบิดได้ และของอื่น ๆ ของที่จะหิ้วติดตัวขึ้นบนเครื่องน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโล เพื่อที่จะรอ ณ ที่พักรอก่อนขึ้นเครื่อง สถานที่ระหว่างพักรอบางสายการบิน ก็จะมีขนม กาแฟ ให้กินระหว่างรอ เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง พนักงานก็จะประกาศให้คนที่มีสิทธิพิเศษ เช่น วีไอพี หรือจองตั๋วแบบพรีเมี่ยม คนชรา เด็ก ขึ้นเครื่องก่อน....จากนั้นจึงเป็นตั๋วบินแบบธรรมดา เลือกที่นั่งไม่ได้ อะไรทำนองนี้ ขากลับ ซึ่งเป็นการเดินทางจากกรุงเทพสู่จังหวัดน่าน ขึ้นแท็กซี่ฝ่าการจราจรที่ติดได้ตลอด 24 ชั่วโมง มาที่สนามบินดอนเมือง โหลดกระเป๋า ตรวจสอบตั๋ว ผ่านประตูตรวจบัตรประชาชนกับตั๋ว เข้าเครื่องสแกนกระเป๋าสะพายที่นำติดตัว แล้วมุ่งไปยังประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งมีอยู่เป็นร้อยช่อง บางครั้งเราอาจเคยขึ้นเครื่องที่ช่อง 75 ในเที่ยวเช้า แต่ผ่านไปอีกหลายวัน หากเดินทางอีก อาจจะต้องใช้ทางขึ้นเครื่องประตูใหม่ ถ้าไม่ดูให้ดีก็อาจตกเครื่องได้ไม่ยากนัก... สุดท้ายก็ขึ้นเครื่อง มีการ เก็บกระเป๋าบนช่องเก็บเหนือหัวเรา ซึ่งจะมีอักษรประจำช่องที่ตรงกับเลขที่นั่งกำกับ เช่น A2 , B4 เป็นต้น มีคำเตือนให้รัดเข็มขัดระหว่างเดินทางด้วยเครื่องบิน ด้วยภาษาอังกฤษ คือ fasten seat belt มองไปข้างบนก็จะมีไฟเขียวไฟแดง มีรูปคล้าย ๆ เข็มขัด พนักงานสาธิตอุปกรณ์ประกอบเทปเสียงอธิบายเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (อาจมีภาษาจีนด้วยในช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจีน)และกัปตันประกาศเทคออฟขึ้นสู่น่านฟ้าสู่น่านนครา..ระหว่างอยู่บนเครื่อง ด้วยว่าผมใช้สิทธิ์ข้าราชการในการเดินทางจึงได้รับอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องด้วย อาหารบนเครื่องมีให้เลือกหลายอย่าง ข้าวกระเพรา ไก่เทอริยากิ แกงเขียวหวาน ข้าวมันไก่ ข้าวผัด ผัดไท แล้วแต่วันไหนพ่อครัวจะมีอารมณ์ทำอาหารอะไรให้ลูกค้ากิน นี่ยังมีขนมให้ได้ลองลิ้มอีกด้วย นับว่าครบเครื่องพอสมควร แต่ขนมบางอย่างต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งอาหารบนเครื่อง ที่บินอยู่บนฟ้า จะมีราคาแพงกว่าอาหารที่อยู่บนดินประมาณ 3 เท่าตัวขึ้นไป ยกตัวอย่าง ข้าวกระเพราบนพื้นดิน 45 บาท บนเครื่องก็ราคาประมาณ 135 บาท อะไรทำนองนี้ การจ่ายเงินสามารถใช้เงินได้หลายสกุล ไม่ว่าจะเป็นดอลล่าร์ หรือเงินเยน ฯลฯ แต่จะทอนเงินเป็นสกุลไทยเท่านั้น และที่สะดวกไปอีกคือ สามารถจ่ายได้ด้วยบัตรเครดิต ยอดเยี่ยมจริง ๆ สำหรับบริการบนเครื่องบิน แต่จะว่าไปอาหารบนเครื่องก็น่ากินไปซะทุกเมนู แถมรสชาติอร่อย แถมมีพนักงานเสริฟสาวสวย ยิ้มหวานพูดจาเพราะ ๆ บนเครื่อง คิดแล้วก็ถือว่าไม่แพงเลย...555 เมื่อเครื่องบินลดระดับลงกัปตันก็จะบอกเราให้เตรียมตัวรัดเข็มขัดให้แน่น แต่ก็ไม่น่าจะบอกแล้ว เพราะรัดมาตั้งแต่ลงไปนั่งแล้ว พร้อมทั้งเตือนให้งดใช้ห้องน้ำ และเครื่องอุปกรณ์อิเลคทรอนิกทุกชนิด....เครื่องบินร่อนลงอย่างนิ่มนวล ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงเมืองน่านโดยสวัสดิภาพ ในที่สุดก็... จบทริปเดินทางบินลัดฟ้ามาเมืองน่านอย่างปลอดภัย....ส่วนในเมืองน่านจะมีอะไรต่อไป..โปรดติดตามด้วยหัวใจเต้นระรัว และสั่นระริก จิกหมอนนอนเสื่อ เอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชราตั้งครรภ์ต่อไป....