ลมหนาวที่พัดมา เป็นสัญญาณเตือนเราให้รู้ว่า ได้เวลาออกเดินทางแล้ว ก่อนอื่น ขอเล่าจุดเริ่มต้นทริปนี้กันก่อน ทริปนี้เริ่มมาจากที่เรารู้สึก burn out กับสิ่งที่ทำอยู่ แล้วก็คิดว่า เอ้อ..อยากออกไปหาพลังบวกซะหน่อย บวกกับช่วงนั้นเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ความคิดที่ว่า อยากแบ็กแพ็คไปน่านก็กลับมาอีกครั้ง จริง ๆ แล้ว เราอยากไปน่านมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปสักที เลยตั้งใจว่าครั้งนี้เราต้องไปให้ได้! และไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ไปทั้งที ไปทั้งน่านและแพร่คู่กันไปเลย จัดไปสัก 5 วัน หลังจากนั้นเราก็หาวันที่เหมาะเจาะ เกณฑ์ในการเลือกวันเดินทางของเราก็คือ ต้องไม่ตรงกับวันหยุดช่วงเทศกาล และภายในเดือนธันวาคม เพราะว่างพอดี สรุปวันที่ได้มาคือ 19 - 24 ธันวาคม นอกจากนี้แล้วเราก็มีข้อจำกัดอีกว่า เราขับรถยนต์ไม่เป็น เพราะฉะนั้น เราจะเดินทางด้วยรถสาธารณะให้มากที่สุด แล้วก็อาจจะมีเช่ารถมอเตอร์ไซด์บ้าง สุดท้ายเราตั้งความหวังไว้ว่า เราจะไม่คาดหวังอะไร ให้มันเป็นในสิ่งที่เป็นควรจะเป็น เป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละ ทริปนี้เราจะเดินทางไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ยืดหยุ่น สำรวจรายละเอียดเล็ก ๆ ระหว่างทางให้มากที่สุด และเราจะเปิดใจรับให้มากที่สุดเช่นกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากทริป ๆ นี้ ในวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้ทุกคนได้ฟังกัน เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ทริปนี้ขอเริ่มกันที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดลำปาง เนื่องจากเรามีธุระที่ลำปางก่อนหน้านั้น เราเดินทางไปแพร่โดยรถตู้ ซึ่งรถตู้จะไม่รับจองที่นั่ง ต้องมาซื้อตั๋ว ณ วันเดินทางเลย แล้วค่อยจ่ายเงินกับคนขับตอนขึ้นรถทีเดียวเลย รถตู้ออกเลทบ้างเล็กน้อย แต่รถตู้ก็มีให้เลือกหลายรอบ แต่เพื่อความชัวร์เราแนะนำให้ไปเช็คกับคนขับก่อนวันเดินทาง คนขับใจดีมาก สำหรับใครไม่สะดวกไปรถตู้ ที่นั่นก็มีรถทัวร์เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง จะมีแค่ 2 รอบต่อวันเท่านั้นนะ ที่เราเลือกรถตู้ก็เพราะมันเข้ากับแผนเรามากกว่า เราออกจากลำปางรอบ 9.30 น. เราจองที่พักที่แพร่ไว้ก่อนเดินทางแล้ว เขาบอกให้เราบอกรถตู้ว่ามาลงที่บ้านร้องขี้ปลา ก็แจ้งกับทางคนขับรถตู้ได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมงก็มาถึงบ้านร้องขี้ปลา มันจะเป็นซอยเข้าไป เราก็ติดต่อกับเจ้าของที่พักให้มารับที่ปากซอย นั่งรถเข้าซอยไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงที่พัก ที่พักชื่อว่า "เชตวันโฮมสเตย์" เป็นโฮมสเตย์ ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สักแบบล้านนา มีทั้งห้องรวมและห้องส่วนตัว ใกล้แหล่งท่องเที่ยว มีจักรยานให้ยืม หรือเช่ามอเตอร์ไซด์ได้ ติดต่อกับทางที่พักได้เลย ที่นี่มีชาวต่างชาติมาพักกันเยอะ บางคนพักเป็นเดือนก็มี ที่นี่เหมาะกับคนที่ต้องการความสงบ เรียบง่าย ต้องขอโทษที่เราไม่ได้ถ่ายรูปที่พักนี้มานะคะ เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปดูใน Facebook Page: Chatawan Homestayเชตวันโฮมสเตย์ สามารถติดต่อและจองทางเฟสบุ๊คได้โดยตรงเลย ห้องที่เรานอนเป็นห้องส่วนตัวเป็นเตียงคู่ ห้องน้ำในตัว และมีอาหารเช้า ราคาคืนละ 400 บาท นอนได้ 2 คน สำหรับทริปนี้เป็นทริปแบ็คแพ็คน้า ราคาที่พักก็จะเน้นถูก ดี คุ้มราคานะ คุณป้าเจ้าของที่พักชื่อว่า ป้าตู่ อัธยาศัยและใจดีมากกก ป้าตู่เล่าว่าแกจะต้องผ่านการอบรมเกี่ยวกับการต้อนรับนักท่องเที่ยวมาก่อน ฉะนั้นแกจึงบริการเป็นอย่างดี แนะนำสถานที่เที่ยวได้ นักท่องเที่ยวก็สบายใจ พอไปถึงที่พัก ป้าตู่ก็จะติดต่อกับร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ให้เอามาจอดที่บ้านเลย สะดวกมาก ๆ ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ก็ตามนี้เลยจ้า เดี๋ยวนะ!! นี่ไม่ใช่บล็อครีวิวที่พักนะจ๊ะ แต่ที่เขียนยาวขนาดนี้ เพราะเราแนะนำที่พักที่นี่มาก ๆ เลย ถ้าใครที่ไม่ติดว่าจะต้องไปที่พักที่ถ่ายรูปสวย ที่นี่กำลังโอเคเลย แถมคุณตู่ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และเป็นกันเองมาก ๆ เสมือนมานอนบ้านญาติ เราไม่ได้วางแผนไว้เลยว่าเราจะไปเที่ยวตรงไหนในแพร่บ้าง ก็เลยให้คุณป้าช่วยแนะนำ ไปดูกันเลย เนื่องจากตอนนี้ก็เที่ยงพอดี เราเลยจะไปเริ่มกันที่ร้านอาหารก่อน ร้านนี้มีชื่อว่า "Hom 2493" เป็นร้านค่อนข้างดัง อาหารจะเป็นแนวส้มตำที่มีกลิ่นอายของอาหารเหนือ ราคาไม่แพงเลย แล้วก็ไม่ไกลจากที่พักด้วย คาวไปแล้ว ก็ต้องต่อด้วยของหวานใช่มั๊ยทุกคน ตามสำนวนไทยที่ว่า "กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่" ที่หลายคนคงได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ฮ่า ๆ ร้านที่จะไปต่อไปนี้คือ ร้านกาแฟ ที่มีชื่อว่า "Charlotte Hut Coffee & Tea Bar" เป็นร้านกาแฟน่ารัก ๆ ตกแต่งชิค ๆ สไตล์มินิมอล มีหลายมุมให้เลือกนั่ง ถ่ายรูปสวย เติมพลังแล้วก็ลุยต่อ ไปกันที่ บ้านทุ่งโฮ้ง เป็นแหล่งผลิตและขายเสื้อผ้าหม้อห้อมและมัดย้อมที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดแพร่ ราคาก็ไม่สูงด้วย นอกจากนี้ที่นั่นยังมี Workshop ทำมัดย้อม โดยมีให้เลือกเยอะมากว่าอยากทำอะไร ตั้งแต่ ผ้าเช็ดหน้า เสื้อ กางเกง ไปจนถึงกระเป๋า ใครผ่านไปที่ก็ไปเลือกซื้อเลือกชมกันได้นะ หลังจากนั้นเราก็ขับรถชมเมืองไปคุ้มวงศ์บุรี คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ วัดพงษ์สุนันท์ และโรงเรียนนารีรัตน์ สถานก็จะอยู่ใกล้ ๆ กัน เดินได้ แต่เราขับผ่านอย่างเดียว ไม่ได้แวะนะ เพราะตั้งใจมาชิล ๆ กินบรรยากาศ บวกกับเวลาเที่ยวน้อยด้วย ถึงกระนั้น เราอยากบอกว่ารอบเมืองแพร่เดินทางง่ายมาก ด้วยความที่เป็นเมืองเล็กๆ ขี่รถแปปเดียวก็วนมาที่เดิมแล้ว จากที่เราคิดว่าเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไร มาเที่ยว 2 วัน 1 คืนก็พอแล้ว แต่เรากลับตกหลุมรักเมืองนี้ซะอย่างนั้น อยากชวนทุกคนที่อ่านไปเที่ยวแพร่กันนะ เป็นเมืองหนึ่งที่น่ารัก รวมถึงผู้คนด้วย ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้ง เวลาพบค่ำใกล้เข้ามาทุกที ได้เวลาหาของกินแล้วล่ะสิ เราไปกันที่ กาดสามวัย มีทุกวันศุกร์ มีอาหารและสินค้าต่าง ๆ ขายเต็มไปหมด อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารพื้นเมือง เราเต็มใจนำเสนออาหารที่ชื่อว่า ข้าวปัน มันดีมาก และที่มีชื่อว่า สามวัยนั้น ไม่ใช่แค่ให้ผู้ใหญ่มาซื้อข้าวปลาอาหารเหมือนตลาดนัดทั่วไปเพียงอย่างเดียว แต่มีพื้นที่ให้เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือวัยรุ่นได้แสดงออก โดยเขาจะจัดการประกวดต่าง ๆ ของน้อง ๆ บนเวที ส่วนพื้นที่ด้านล่าง นอกจากจะมีร้านรวงต่าง ๆ แล้วนั้น ก็จะพื้นที่ที่มีเสื่อ และขันโตกวางไว้เป็นจุด ๆ สามารถซื้ออาหารแล้วมานั่งทานไป ชมการแสดงไปได้อีกด้วย พอเสร็จจากที่นั่น เราก็ว่าจะหาร้านนั่งชิล แต่ร้านที่นั่นปิดเร็วมาก ประมาณ 2 ทุ่ม เมืองก็เงียบแล้ว เราจึงกลับที่พัก เพื่อเตรียมของเดินทางในวันต่อไป เราแจ้งคุณป้าว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางแต่เช้า แกก็บอกให้ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปจอดที่สถานีขนส่งเลย จะได้ไม่ต้องเสียค่าเรียกรถไป แล้วเดี๋ยวให้คนของร้านเช่ารถไปรับรถที่นู่น เช้าวันต่อมา เราต้องออกเดินทางแต่เช้า คุณป้าก็เลยทำอาหารเช้าใส่กล่องไว้ให้ (น่ารักจริงๆ เราบอกแล้ว) เป็นข้าวหุงกับธัญพืชหลายชนิดและไข่เจียวร้อน ๆ สรุปแล้วเราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย มา slow life เฉย ๆ ทีแรกคิดว่าเที่ยวแพร่ 1 วัน 2 คืนก็ครบละ แต่ไม่ใช่เลย!! ต้องมาสัก 3 วัน 2 คืน ถึงจะกำลังดี วันนี้เราจะเดินทางไปปัวกัน เริ่มจากเดินทางจากสถานีขนส่งจังหวัดแพร่ ไปสถานีขนส่งจังหวัดน่าน จากนั้นก็ต่อรถสองแถวน่าน-ปัว คันสีแดง จอดอยู่บริเวณขนส่งนั้นแหละ ส่วนตารางเวลาเดินรถนั้นไม่แน่นอน แต่รถจะออกเรื่อย ๆ แหละ ค่อนข้างบ่อยอยู่ ค่ารถตกคนละ 50 บาท ใช้เวลาเดินทางจากขนส่งเมืองน่านไปถึงปัวประมาณ 2 ชั่วโมง เรียกได้ว่านั่งจนตูดชา ผมเหนียวกันไปเลย พอมาถึงปัว ให้ลงที่ขนส่งปัวเลย ที่ต้องระวังคือ จะดูไม่ค่อยออกว่านี่คือขนส่งปัว ภาพในหัวเราคือเป็นอาคาร แต่ภาพที่เห็นจริงเป็นเหมือนตลาดนัดเลย ทางที่ดีให้บอกกับคนขับตั้งแต่ต้นทางเวลาว่าลงขนส่งปัว เขาเต็มใจช่วยเราค่ะ จริง ๆ ทริปนี้ คนที่เราเจอระหว่างทางที่หมดเลย ต่อค่ะ ๆ เราแนะนำให้ลงขนส่งปัวนะ แล้วหาวินแถวนั้นให้ไปส่งที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ที่อยู่เลยปั๊มน้ำปตท.มาหน่อย หรือจะให้ไปส่งที่ที่พักเลยก็ลองตกลงกันดูนะคะ แต่เรานั้นไม่ได้ลงที่ขนส่งปัว เพราะเราไม่รู้ว่านั่นคือขนส่ง ดูยากจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น เราเลยไปลงใกล้ปั๊มปตท. ทีแรกเราคิดว่าซวยจริง ๆ เลย ไม่รู้ว่าจะไปต่อรถยังไง แต่ในความโชคร้ายมักมีความโชคดีอยู่ เข้าไปถามคนในปั๊มเขาบอกว่าร้านเช่ามอเตอร์ไซด์อยู่ข้าง ๆ ปั๊มนี้เอง เดินไปประมาณ 100 เมตร อ้าว..โชคดีเฉย ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์วันละ 300 บาท แต่ต้องไปเติมน้ำมันเอง พอเช่ามอเตอร์ไซด์เสร็จ ก็ออกเดินทางเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักของคืนนี้กันก่อน คืนนี้เราพักกันที่ โรงเรียนชาวนา หลายคนอาจจะได้ยินมาว่าปัวดังเรื่องทุ่งนาอันเขียวขจีที่สวยงามมาก แต่เราขอเตือนไว้เลยนะว่าถ้าใครฝันไว้ว่าอยากมาเจอทุ่งนาเขียวขจี ให้มาตอนเดือนตุลาคม ช่วงที่เราไปเขาเกี่ยวข้าวเสร็จหมดแล้ว มันก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นในภาพนี่แหละ จากนั้นเราก็ไปกันที่ กาแฟบ้านไทยลื้อ ร้านยอดฮิตของปัว ที่นี่ก็จะมีทั้งร้านอาหาร (ข้าวมันไก่และข้าวซอย) และร้านกาแฟท่ามกลางวิวของทุ่งนา คนเยอะทั้งวัน รถที่ผ่านไปผ่านมาก็แวะเกือบทุกคัน มีมุมถ่ายรูปเยอะ นอกจากนี้ก็ยังมีร้านขายผ้าไหม ชุดพื้นเมืองมากมาย ในราคาไม่แพงอีกด้วย เราใช่เวลานั่งกินลมชมวิวและถ่ายรูปที่นี่นานมากกก จากนั้นเราก็ไปร้านฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ (ดูเหมือนทริปนี้จะเน้นกินกับขี่รถชมเมืองเนอะ ฮ่า ๆ ๆ ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ แหละ) แต่พอไปถึงเราพบว่า คนเยอะมาก ขี้เกียจรอ ก็เลยเดินเล่นแปปเดียวก็ไปขี่รถเล่นในตัวชุมชนต่อ พอประมาณ 5 โมงเย็นก็กลับบ้าน เพราะเราสั่งอาหารเย็นกับทางที่พักไว้ เป็นชุดขันโตก ชุดละ 300 บาท คือคุ้มมากกก จริง ๆ ที่กลับมาเร็วเพราะอยากมาเสพบรรยากาศที่ที่พักด้วย บรรยากาศดีมาก ๆ เราโครตชอบ สงบ ลมเย็น มีเสียงนก รู้สึกได้อยู่กับธรรมชาติ นั่งมองพระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า มีความสุขสุด ๆ เอาเป็นว่าเราแนะนำมาพักตากอากาศที่ปัวกันเถอะ ที่พักของเราเป็นกระท่อมนะคะ ไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องไปอาบที่ส่วนกลาง แต่ก็ไม่ได้ลำบากนะ อยู่ได้สบาย ๆ ตอนกลางคืนก็หนาวนิดหน่อย ยุงไม่ค่อยมีถ้าอยู่ในห้อง ราคาอยู่ที่ 600 บาท รวมอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ ตอนเช้าก็ได้เวลาเดินทางต่อ เราขับรถไปคืนที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ แล้วพี่คนขับเขาจะขับรถไปส่งเราที่จุดขึ้นรถสองแถว เพื่อกลับไปยังตัวเมืองน่าน ค่ารถก็ 50 บาทเท่ากับขามา ไปลงที่สถานีขนส่งเมืองน่านเหมือนเดิม ที่ต่อไปที่เราจะไปถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ก็ว่าได้ นั่นก็คือ ดอยเสมอดาว จากขนส่งเมืองน่านก็ไปต่อรถเมล์หวานเย็นหรือรถตู้ที่ผ่านไปเส้นทางนั้น ไปลงขนส่งเวียงสา ค่ารถถ้าจำไม่ผิดน่าจะคนละ 25 บาท ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ยังไม่จบค่ะทุกคน ต้องต่อรถเมล์สีเขียวไปลงนาน้อย ค่ารถคนละ 40 บาท จะมีเวลารถออกบอกชัดเจนตามในรูปด้านล่าง แล้วก็บอกคนขับว่าไปลงนาน้อยการพิมพ์หรือน้าติ่ง นั่งนานประมาณ 1 ชม.ก็ถึง (จองรถขึ้นดอยทาง facebook page: รถรับจ้างขึ้นดอยเสมอดาวผาชู้ขุนสถานเสาดิน โทร..น้าติ่ง 098-8081782 ก่อนไปก็ดีนะ) ค่ารถแล้วแต่ว่าไปกี่คน สอบถามทางเฟสบุ๊คได้เลย ถ้าเราไปแล้วเจอคนที่จะขึ้นดอยพร้อมกัน แต่มาหน้างาน ไม่ได้จองมา ไปพร้อมกัน น้าก็จะลดราคาให้เราลงไปอีก ซึ่งเราก็เจอคนที่มาคนเดียวเหมือนกัน น้าติ่งซึ่งเป็นคนขับที่ใจดีก็จะพาเราไปแวะเซเว่นที่ปั๊มน้ำมันก่อนเพื่อซื้อเสบียงขึ้นไป แต่จริง ๆ ข้างบนดอยก็มีขายนะ ราคาอาจจจะสูงกว่า (แต่ก็ไม่ได้สูงกว่ามากนัก) จากนั้นน้าแกก็จะแวะสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างทางขึ้นดอย พร้อมเป็นไกด์และช่างภาพให้ได้ (แกถ่ายรูปสวยอยู่นะ) ที่แรกนี้คือ คอกเสือ ชาวบ้านเล่ากันว่า ในสมัยก่อนบริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่จำนวนมาก และชอบมาขโมยวัว ควายของชาวบ้านไปกิน ชาวบ้านจึงรวมตัวกันต้อนเสือให้ลงไปในบ่อ แล้วใช้ก้อนหิน ไม้แหลมขว้างปาจนเสือตาย บริเวณนี้จึงถูกเรียกว่า คอกเสือ มันก็จะคล้าย ๆ กับแพะเมืองผีที่แพร่นั่นแหละ และไปต่อที่ เสาดินนาน้อย ซึ่งเป็นจุดยอดฮิต (ฮิตกว่าคอกเสือ) ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาแวะชม ทั้งคอกเสือและเสาดินนาน้อยนั้นเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการทับถมของดินที่ตกตะกอนและเปลือกโลกเคลื่อนตัว ทำให้เกิดพื้นที่บางส่วนยุบลง ต่อมาเกิดการกัดเซาะของน้ำและลม จนเกิดเป็นรูปร่างริ้วแปลกตาที่สวยงาม แต่คอกเสือมีกำแพงดินที่ใหญ่และสูงกว่าแม้จะมีพิ้นที่ไม่มาก ในขณะที่เสาดินมีพื้นที่มากกว่า แต่มีกำแพงที่มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ที่เสาดินนาน้อยก็มีต้นไม้มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นั่นก็คือ ต้นดิ๊กเดียม เป็นต้นลักษณะดังภาพด้านล่าง ผู้เยี่ยมชมสามารถสังเกตได้จากป้ายที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ ต้นนี้พิเศษตรงที่หากเราเอามือไปสะกิด เกาที่ต้นเบา ๆ กิ่งและใบจะสั่นไหวไปมา ราวกับเขากำลังสื่อสารกับเรา ต่อไปก็ถึงเวลาที่เราจะมุ่งหน้าสู่ดอยเสมอดาวกันแล้ว ไปเลยค่ะน้าติ่ง นั่งรถอีกประมาณ 30 นาทีก็มาถึงดอยเสมอดาว ที่ ๆ เราฝันอยากมานานมาก ๆ แล้ว สุดท้ายวันนี้ก็มาถึง ยินดีต้อนรับสู่ดอยเสมอดาว น้าติ่งมาส่งเราถึงลานหน้าอุทยาน เราก็นัดแนะให้น้าติ่งมารับวันพรุ่งนี้ ตอน 10 โมง จากนั้นเราก็เข้าไปเช็คอินกับเจ้าหน้าที่ ต้องบอกก่อนว่าความสวยของที่นี่ไม่ได้ต่างจากภาพที่เราคิดไว้มากนัก แต่การจัดการต้อนรับนักท่องเที่ยวของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุทยานต่างจากที่เราคิดมาก ที่นี่มีการเตรียมการ จัดระเบียบ รวมถึงอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี เรียกว่าสะดวกสบายกว่าที่คิดไว้มาก ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ที่ค่อนข้างสะอาดและมีจำนวนหลายห้อง เพียงพอต่อการใช้งาน รวมทั้งอาหาร ที่เราสามารถโทรสั่งอาหาร (หลากหลายมาก ทั้งหมูกระทะที่เป็นไฮไลท์สำคัญ อาหารตามสั่งได้หมดจ้า เบอร์โทรสั่งก็ติดป้ายอยู่บริเวณจุดบริการนักท่องเที่ยว) และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เต้นท์ ที่ทางอุทยานก็มีจัดเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่นกัน เราจองไปก่อน จองโดยการโทรจองล่วงหน้าที่เบอร์ 093-242-2914 สามารถเข้าไปดูที่ facebook page: อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน - Sri Nan National Park นอกจากนี้ก็ยังมีเต้นท์ของเอกชนอีกด้วย แต่จะอยู่อีกทิศนึง คนละบริเวณกันกับเต้นท์ของทางเจ้าหน้าที่นะ เต้นท์ของเจ้าหน้าที่จะอยู่บริเวณที่เป็นเอกลักษณ์ของดอย แต่มันก็ไม่ไกลกันเลย อ้อ แล้วก็ถ้าเป็นเต้นท์ของทางอุทยานจะไม่สามารถเอาหมูกระทะไปกินหน้าเต้นท์ได้ ต้องไปกินบริเวณที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ แล้วก็ต้องเช่าเตาและเสื่อ แต่ถ้าเป็นเต้นท์ของเอกชน สามารถกินหมูกระทะหน้าเต้นท์ได้ แต่ความสวยนั้นก็สวยทั้งคู่เลยจ้า หากใครที่มีเต้นท์ไปกางเองก็สามารถทำได้นะ ติดต่อเจ้าหน้าที่จองพื้นที่กางเต้นท์ได้เลย ยังไม่หมดจ้า ความอำนวยสะดวกของเจ้าหน้าที่ยังมีอีก เขามีอุปกรณ์ในการใช้ชีวิตบนดอยนอนเต้นท์อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไฟ เสื่อ เป็นต้น แล้วก็ทางเจ้าหน้าที่จะมีประกาศเสียงตามสายบอกถึงกฏหรือข้อมูลต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ลืมบอกไป ทางอุทยานไม่อนุญาตให้เอารถไปจอดบริเวณพื้นที่กลางเต้นท์นะ ต้องลงดอยไปนิดหน่อยเป็นพื้นที่จอดรถ เราเลือกลงไปกินข้าวด้านล่าง จริง ๆ ก็เดินลงไปไม่ไกลหรอก น่าจะไม่ถึง 1 กม. อาหารก็คือร้านเดียวกับที่ติดป้ายบนดอยแหละ แต่ไม่มีไรทำ ก็เลยมาเดินเล่น สำรวจสิ่งต่าง ๆ มาตั้งไกล เดินให้คุ้ม ซึ่งทางก็จะเป็นเนินสูง ๆ ตอนเดินลงก็ไม่เหนื่อยหรอก สบาย ๆ แต่พอขากลับเดินขึ้นเท่านั้นแหละ รู้เรื่องเลย แต่ก็โชคดีมีรถส่งอาหารเขาผ่านมาพอดี เขาเลยชวนให้เราขึ้นรถไปด้วย (ทริปนี้เจอแต่คนดี ๆ) พอเรากินข้าวอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็ถึงช่วง...ดูดาว เราไปขอยืมเสื่อจากเจ้าหน้าที่เพื่อไปกางนอนดูดาว โอ้โหหหห ดาวที่นี่สวยมากกกกก ดาวเต็มท้องฟ้าเลย สมชื่อกับดอยเสมอดาวจริง ๆ มันราวกับเราอยู่ใกล้กับดวงดาวมากจนอยากจะโอบกอดดวงดาวทั้งหมดนั้นไว้ แต่ก็คงโอบกอดไม่หมดหรอก เพราะมันเยอะมาก บวกกับอากาศเย็นสบาย สงบ และโรแมนติก ช่วงนั้นฉันได้รู้สึกถึงตัวตนของตัวเองชัดเจนมากขึ้น เหมือนโลกกำลังหยุดหมุน เราไม่ต้องวิ่งตามคนอื่น ความสบายใจมันเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ขออภัยด้วยที่กล้องเราถ่ายไม่ติด มืดตึ๊ดตื๋อเลย พอดูดาวและสัมผัสอากาศเย็น ๆ จนตัวชาแล้วเราก็กลับเต้นท์ไปนอน (และนี่เป็นการนอนเร็ว ไม่เกินเที่ยงคืน ในรอบปีของเราได้เลย) พรุ่งนี้เราจะได้ตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน เราตื่นประมาณตี 5 ซึ่งเราคิดว่าเร็วแล้ว เราก็ขึ้นไปข้างบนเลย พอไปถึงก็พบว่า เออเราตื่นสายเอง คนเต็มเลยจ้า เราก็ได้คุยกับเพื่อนที่มาคนเดียว เขาบอกว่าเขาตื่นตั้งแต่ตี 4 และอาบน้ำแล้วด้วย จากที่เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองมากเว่อร์ที่ตื่นเช้า พอเห็นคนและฟังเพื่อนเล่าแล้วเป็นจืดเลย พระอาทิตย์ก็ขึ้นเวลาประมาณ 5.50 น. สำหรับเรา เราเฉย ๆ นะ ก็สวยแหละ แต่คนเยอะแล้วฟีลมันหายหมดอ่ะ เวลาเรามองไปข้างล่างดอย เราจะเห็นหมอกราวกับสายน้ำ และมีพระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาทีละน้อย หลังจากดูพระอาทิตย์ ถ่ายรูป เดินสำรวจรอบ ๆ หาของกิน ซึ่งบริเวณอุทยานก็จะมีของมาขาย เช่น โจ๊ก ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ขนมจีบ ซาลาเปา มีคาเฟ่ขายชา กาแฟด้วย เราก็กลับไปเตรียมตัว เก็บของที่เต้นท์ เตรียมรอน้าติ่งมารับลงไป น้าติ่งจะพาเราไปที่จุดที่ขึ้นรถมา นั่นก็คือบ้านน้าติ่งนั่นเอง แล้วรถเมล์เขียวจะมาจอดรอเราตรงนั้น ไม่ต้องห่วงว่าเวลาจะไม่ตรงกัน จะคลาดรถเมล์เขียว หรือรอนาน น้าเขาจะติดต่อกับคนขับรถเมล์เขียวไว้น่ะ แล้วรถเมล์เขียวก็จะพาเราไปขนส่งเวียงสา และต่อรถเมล์ฟ้าเข้าเมืองน่าน ต่อรถแดงที่วิ่งรอบเมืองไปขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพจ้า สำหรับคนที่อยากไปแล้วไม่มีเพื่อนไป อยากบอกว่าไม่ต้องกลัว จงไปเลย เพื่อนที่มาคนเดียว เราขึ้นดอยมารอบเดียวกัน ก็ชวนกันไปกินข้าว หารค่าหมูกระทะกัน ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปเดินเล่นกัน จนจบทริปก็เป็นเพื่อนกัน น้าติ่งก็บอกว่าเจอคนมาคนเดียวเยอะอยู่เหมือนกัน ซึ่งอย่างที่เราบอก พอมาถึงตอนนี้ เราคิดว่าเราคิดถูกมาก ๆ ที่เลือกออกเดินทางไปในที่ ๆ เราไม่คุ้นเคย หลังกลับจากทริปนี้ ไฟในการทำงานมันก็เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็มาจากระหว่างทางที่เราได้พบเจอผู้คนที่แสนน่ารักมากมาย ได้เห็นน้ำใจคนจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เราประทับใจมาก สุดท้ายนี้ เราอยากบอกว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะเราเล่าให้ฟังเลย ออกไปเห็นมันกับตา เผชิญมัน สัมผัสมันด้วยตัวเองดีกว่า การเดินทางมันสนุกตรงที่เราได้ไปพบเจออะไรใหม่ ๆ ตรงตามแผนบ้าง นอกแผนบ้าง ไม่คาดคิดบ้าง แต่เชื่อเหอะ มันมีเสน่ห์ในตัวของมัน ปล. แอบสารภาพว่าตอนที่เขียนโพสนี้อยู่มีแวบนึงมองปฏิทินหาวันว่างไปเที่ยว แล้วก็พบว่า..อ้าา..ไม่มีวันว่างเลย ฮ่า ๆ ๆ เราตั้งใจเขียนบทความนี้เพื่อหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งให้ทุกคนกล้าออกไปเที่ยวนะ เมื่อลมหนาวมา เราจะออกเดินทาง