ทริปนี้เป็นทริปที่ไปมาตั้งแต่ ปลายปี 2018 นะครับ อยากนำมาแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์ให้เพื่อนๆได้อ่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการออกท่องเที่ยวประเทศไทยกันครับ พร้อมแล้วมาเริ่มกันเล้ย..... 26/12/2108 ออกจากบ้านที่มีนบุรี 16.00 > 18.00 ถึงชัยนาทครับ เริ่มเมื่อย อากาศเริ่มเย็น แวะเก็บภาพสักหน่อย ถนนยังโล่งๆ เพราะเราออกเร็วกว่าชาวบ้าน เลยขับได้สบายๆครับ ขับมาต่อ ถึงนควรสวรรค์ เนื่องจากทางค่อนข้างมืด อากาศเย็น (ใส่เสื้อการ์ด air flow เลยรับลมดี๊ดี) ทำให้คัดจมูกและจามหนักมาก เลยหาที่พักดีกว่า ได้ที่พักเป็นโรงแรม พีเอสเพลส ราคา 450บาท ถือว่าไม่แพงเลยครับ เสียอย่างเดียว ไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่ เสียงดังจากข้างนอกเข้ามาถึงในห้องค่อนข้างดัง แต่ไม่เป็นไร เราต้องการการนอน ก็เลยรีบหลับตั้งแต่ 3 ทุ่มครับ ... สภาพห้องก็จะประมาณนี้ 27/12/2018 6.00 ออกจากโรงแรมที่นควรสวรรค์ มุ่งหน้าอุตรดิตถ์ แต่ด้วยประสบการณ์การแพ็คกระเป๋าติดท้ายรถอันน้อยนิดของเรา(เป็นทริปทางไกลทริปแรกในชีวิต) ทำให้แพ็คไม่แน่นพอ กระเป๋าเป้ได้ไหลลงไปกองอยู่ตรงท่อไอเสีย ซึ่งลงไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ มารู้อีกทีตอนออกทางเลี่ยงเมืองพิษณุโลก ประมาณ 7.30 ก็ได้พบว่า เราได้เสียบัตรจอดรถ บัตรเข้าตึกออฟฟิศ เสื้อ3ตัว และ เป้ ไปเสียแล้ว ดังภาพที่เห็น วิ่งมาต่อเรื่อยๆ... ใกล้ถึงบ้านเราแล้ว (เป้าหมายอำเภอฟากท่า เลยจากอำเภอน้ำปาดไปอีก 42 กม.) จากบ้านผมไปลาวอีกไม่ไกล สามารถขับรถข้ามด่านไปได้ เป็นเส้นทางผจญภัยสายใหม่ เชิญมาเที่ยวกันนะครับ เย้...! ในที่สุดเป้าหมายแรกของเราก็สำเร็จ ถึงบ้านก่อนเวลาที่ google maps คาดการณ์ไว้ 1 ชั่วโมง (ถึง10.00) ใช้เวลาเดินทางจากนครสวรรค์ 4ชั่วโมง ระยะทางจากกรุงเทพ ถึงบ้านเกิดที่อ.ฟากท่า 556.7 กม. พอถึงบ้านก็ซัดกับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้อย่างเต็มอิ่ม แล้วก็นอนสลบเลยครับ เพราะเพลียมาก 28/12/2018 6.00 ออกจากบ้าน มุ่งหน้าอ.นาน้อย จ.น่าน โดยใช้เส้นทาง 117(1047เดิม ซึ่งใน google maps ก็ยังแสดงเป็นเลขนี้อยู่นะครับ) เพื่อไปเลี้ยวซ้ายเข้าเส้น 1083 เราจะไปเที่ยว ผาชู้ กับดอยเสมอดาวกันครับ 8.00 ถึงเป้าหมายแรกคือ ผาชู้ มีคนมากางเต็นท์เยอะเหมือนกันครับ โชคไม่ดี เราไม่เจอหมอกเลยครับ เพราะลมแรง และอาจเพราะเราไปถึงสายด้วย จุดต่อมาคือ ดอยเสมอดาว ไม่เจอหมอกเช่นกัน และคนเยอะพอสมควร คนกำลังทยอยเก็บของกลับกัน 11.00 พระธาตุแช่แห้ง (ออกจากดอยเสมอดาวมาอีก 70 กม.กว่าๆ ขับมาประมาณ 1.30ชม.) 13.25 มาเจอก๊วนตีแบดที่เขามาทำบุญที่น่านกันพอดี ที่ร้านกาแฟ เฮือนฮังต่อ แวะมาทักทายกันนิดนึง ขอพูดถึงร้านนี้สักหน่อย กาแฟรสชาติธรรมดา ขนมอร่อย สวนกว้าง มีมุมให้นั่งเยอะ และบรรยากาศดี ราคาก็ไม่แพง แก้วละ 60 ขนม60บาท แต่ที่เราชอบใจคือระบบคิวของเค้า เค้าใช้ระบบ"เพจเจอร์เรียกคิว" พอสั่งกาแฟเสร็จและจ่ายเงินแล้วไม่ต้องยืนรอที่เค้าเตอร์ให้เสียอารมณ์ เอาเพจเจอร์ที่เค้าให้ติดตัวไป แล้วจะเดินไปนั่งหรือเดินเล่นที่ไหนก็ไป เมื่อกาแฟเราได้แล้วเครื่องที่เราได้มามันจะเตือนเป็นเสียงเพลงให้เรากลับเข้าไปรับกาแฟ... คือมันดีอ่ะ เราชอบใจมาก ณ จุดนี้ ออกจากร้านกาแฟ ไปตระเวนไหว้พระกันในเมืองครับ วัดแรกคือวัดหัวข่วง ต่อด้วย วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ข้ามไปวัดภูมินทร์ ทนดูหน้าผมหน่อยนะครับ มีรูปคู่ปู่ม่านย่าม่านแค่รูปนี้รูปเดียว หลังจากนั้นก็แยกกับก๊วน เดินทางต่อคนเดียว มุ่งหน้าดอยภูคาครับ ใช้เส้นทาง 101 แล้วไปต่อ 1256 แต่ก่อนไป 1256 เลี้ยวขวาไป 1081 เพื่อขอเก็บภาพกับโค้งเลข 3 ในตำนาน ก่อนจึงค่อยกลับออกมา และแล้วก็หาเจอครับ รีบเก็บภาพแล้วไปต่อ กันที่ดอยภูคา ครับ นอนกระท่อมหลังนี้ครับ เค้าเรียกชื่อว่า "บ้านเกวียน" ราคาคืนละ 300 บาท นอนได้ 2 คน (มีหมอน กับผ้าห่มหนาๆ ให้ 2 ชุด) ที่นี่ลมแรงมาก ใครเคยไปห้วยน้ำดังจะนึกภาพออก คือพอลมพัดมาทีเหมือนเต็นท์จะปลิวอ่ะครับ แต่กระท่อมน้อยหลังนี้ช่วยเราได้ 29/12/2018 ออกจากดอยภูคา 9.00 เป้าหมายต่อไปของเราคือ อำเภอนาน้อย นัดกับพี่ก๊วนแบด(ที่เจอกันเมื่อวาน) เพื่อไปเยี่ยมบ้านเขาที่นาน้อยสักหน่อย เพราะเป็นทางผ่านที่เราจะใช้กลับบ้านพอดี (ตั้งใจจะกลับทางปากนาย ไปออกอำเภอน้ำปาด จ.อุตรดิตถ์) ถึงแล้ว เฮือนแม่ศรีลัยแห่งนาน้อย ที่นี่กำลังจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน และเป็นศูนย์หนังสือแห่งนาน้อยเลยครับ มีหนังสือทุกแขนงเป็นหมื่นๆเล่ม และกำลังจะสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ของเก่า เช่นพวก ธนบัตร เหรียญ สแตมป์ ฯลฯ อีกหลังนึงใกล้ๆกันเร็วๆ นี้ ออกจากนาน้อย เป้าหมายต่อไปคือ หมู่บ้านประมงปากนาย ไปต่ออีก 40 กม.ครับ ต้องรีบไป เพราะได้ยินมาว่า ต้องไปรอเรือข้ามฟากประมาณ ครึ่งชม. ถึงจะมาลำนึง เราต้องรีบทำเวลากลับบ้านเพื่อไปให้ถึงบ้านตอน 17.00 เพราะแม่เตรียมพิธีบายศรีสู่ขวัญไว้รอที่บ้านแล้วครับ 14.40 ถึงแล้วครับ หมู่บ้านประมงปากนาย (ทางลงข้ามฟาก รถยนต์กับมอเตอร์ไซค์คนละทางกันนะครับ ต้องมองป้ายดีๆ) นั่งรอประมาณ 20 นาที เรือมาจากฝั่งน้ำปาดเข้ามาพอดีครับ ได้เวลาหาประสบการณ์ใหม่กันแล้วเรา อัตราค่าบริการก็จะประมาณนี้ครับ รถเล็ก 100 บาท Big Bike 150 บาท จริงๆของเราก็ยังไม่ถึง 400cc ยังไม่เรียกว่า BigBike ไม่ควรเสีย 150เนาะ แต่ขี้เกียจอธิบายครับ เพราะทั้งลำมีเราหล่ออยู่คันเดียวครับ เหมือนเหมาลำในราคา 150ก็เลยไม่คิดมากครับ 555 ใช้เวลาข้ามฟากแป้บเดียวครับ ประมาณ 10-15 นาที ก็ถึงฝั่งอ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์แล้ว สตาร์ทรถบึ่งขึ้นฝั่งแล้วไปกันต่อเลย ต้องรีบทำเวลากลับบ้านครับ ระยะทางยังอีกไกล 17.01 ถึงบ้านครับ ทำเวลาได้ดีมาก หมอทำขวัญมารอแล้ว เข้าพิธีกันเลย คนต่างจังหวัดเวลากลับบ้านก็จะประมาณนี้แหละครับ ลุงป้าน้าอา บ้านใกล้เรือนเคียงก็จะมาช่วยเรียกขวัญ เสร็จแล้วก็ผูกข้อไม้ข้อมือให้ (ผูกข้าวเอาขวัญ คนที่บ้านจะเรียกแบบนี้ครับ) 31/12/2018 เดินทางกลับกรุงเทพ 9.30 ออกเดินทางจากที่บ้าน ถึงกรุงเทพ 17.30 ระยะทาง 553.5 กม. ใช้เวลา 8 ชั่วโมงโดยประมาณ แวะพักบ้างแต่ไม่นาน อัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 28.4 กม/ลิตร ทางตรงเน้นทำความเร็วครับ เลยไม่ประหยัดเท่าไหร่ สรุปทริปนี้ วิ่งไปทั้งหมด 1,720.3 กม. เติมน้ำมันไป 1,580 บาท เหลือน้ำมันใช้ต่ออีกราวๆครึ่งถัง อัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 30.4กม/ลิตร ครับ ขากลับไม่มีอะไรตื่นเต้น แวะปั๊มแค่เติมน้ำมันอย่างเดียว แล้วก็ออกมาต่อเลย ก็เลยไม่มีอะไรมาเล่านะครับ ข้าวเที่ยงยังไม่กินเลยครับ เพราะรีบ ใจถึงบ้านที่กรุงเทพแล้วลืมหิวข้าวไปเลย ทริปนี้ขอจบไว้เพียงเท่านี้ ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนบอกเล่าประสบการณ์เรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ