เมืองรองอย่าง "น่าน" แม้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวหลัก แต่น่าฮักเอาการ ความที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหลักนี่แหละที่ทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินงาม และคงความมีเสน่ห์ในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไว้ได้ นอกจากภาพเขียน "กระซิบรัก" อันโด่งดังและเก่าแก่แห่งวัดภูมินทร์ ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนแห่งความรักของน่าน เห็นได้จากการไปปรากฎอยู่บนของที่ระลึกแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจ ผ้าคลุมไหล่ หรือเสื้อยืดแล้ว ทุ่งนากับภูเขานับเป็นสิ่งที่ต้องไปชมและสัมผัส แต่ก่อนไปก็ออกจากวัดภูมินทร์แล้วเดินข้ามถนนไปถ่ายรูปกับซุ้มลีลาวดีด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ แล้วเดินอีกนิดเพื่อไปชมของคู่บ้านคู่เมืองน่าน คืองาช้างดำ บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์กันก่อนได้ นอกจากนั้น ด้านหลังห้องที่โชว์งาช้างดำยังมีห้องแสดงพระพุทธรูปไม้ ที่แกะสลักจากไม้ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองของน่านด้วยนะเออ.. พอมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองไป จะเจ๊อะเจออำเภอท่าวังผา อันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีมงคล หรือวัดก๋ง ซึ่งภายในวัดตกแต่งอย่างสวยงาม เรียกได้ว่ามี "พร็อพ" ให้ได้ถ่ายรูปกันตั้งแต่หน้าวัดเลย พอย่างเท้าเข้าวัดมาก็เจอเรือนไทย พร้อมเกวียน และช้าง พร้อม! มหกรรมการเซลฟีเริ่มขึ้นทันที ขยับเข้าไปอีกสักหน่อย จะมีลานกว้างและพร็อพอีกเพียบ ทั้งร่มทั้งโคม ทั้งข้องจับปลา ม้าก็มาด้วย พอเข้าไปกราบพระใบโบสถ์แล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ก็เตรียมกรี๊ด (ในใจ) กันได้เลย (อย่าลืมว่าอยู่ในวัด) เพราะมีสะพานไม้ทอดออกไปสู่ทุ่งนา ซึ่งช่วงที่เราไป เขาเก็บเกี่ยวกันพอดี ก็ได้ฟีลไปอีกแบบ ที่ขาดไม่ได้คือเทือกเขาดอยภูคาที่ทอดตัวยาว เรียกได้ว่าเป็นฉากหลังที่ลงตัว ถ้ายังไม่อิ่มกับทุ่งนา ไปต่อที่ วัดภูเก็ต (จ้า อ่านไม่ผิดหรอก ถึงชื่อแบบนี้แต่อยู่อำเภอปัวจ้า ที่มาของชื่อคือเป็นวัดที่อยู่บน"ภู"หรือที่สูง และอยู่ที่บ้าน"เก็ต") เพราะด้านหน้าอุโบสถของวัด มองลงไปคือทุ่งนา แถมด้วยชิงช้าให้ไปโล้ถ่ายรูปกันกลางทุ่ง เรายังตามหาทุ่งนากันไปยันร้านขายของฝาก เพราะด้านหลังร้านลำดวนผ้าทอ มีสะพานไม้ (อีกแล้ว) ห้อยแขวนไว้ด้วยผ้าทอผืนใหญ่ๆ ปลิวล้อลม ติดๆกันคือทุ่งนา ที่หากอยากสัมผัสก็เดินลงสะพานไป หรือจะนั่งจิบกาแฟแบบชิลชิล และพักสายตาไว้กับสีเขียวๆ ของต้นข้าว เขาก็มีเบาะให้เอนบนชานไม้นะจ้าว...