การท่องเที่ยวครั้งนี้เริ่มต้นจากการพยายามหนีห่างสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมาย พูดง่าย ๆ เลยก็คือ การหนีห่างจากความวุ่นวาย อยากที่จะพักผ่อนสไตล์ซึมซับวัฒนธรรม ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน และหาเฟรมถ่ายภาพใหม่ ๆ นางแบบใหม่ ๆ ดูบ้าง จนไปพบกับสถานที่แห่งหนึ่งจะเรียกว่า เมืองลับแห่งการท่องเที่ยว ก็ได้ นั่นคือ ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมลาวเวียง จังหวัดอุตรดิตถ์ แค่อ่านชื่อเราก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า สถานที่นั้นจะต้องงดงามทั้งบรรยากาศและน้ำใจของคนในชุมชนอย่างแน่นอน เราได้จองที่พักแบบโฮมสเตย์ไว้ในราคาเริ่มต้นคนละ 400 บาท ซึ่งที่พักส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นโฮมสเตย์ทั้งหมด เราจะต้องโทรไปจองก่อน เค้าจะได้เตรียมที่พักและอาหารได้ถูกต้องตามจำนวนคน เราและเพื่อน ๆ เริ่มออกเดินทางจากจังหวัดพิษณุโลก โดยยานพาหนะคอกหมู ราคาคนละ 100 บาท ถ้าเพื่อน ๆ ไม่เคยเห็นลองนึกถึงรถที่ไว้ใช้ออกค่ายตอนมหาวิทยาลัยหรือถ้านึกไม่ออกเสิร์ชเลยค่ะ "รถคอกหมู" รถแห่งสัญลักษณ์ของฝุ่นและผมเหนียว แต่นั่งทีไรก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ด้วยมากับเพื่อนร่วมทางอันแสนอบอุ่น พอรถเทียบท่าที่ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมลาวเวียง จังหวัดอุตรดิตถ์ ก็มีคุณป้าอำพร เจ้าของโฮมสเตย์มาต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมทั้งพาเราและเพื่อน ๆ ไปที่พักเพื่อเก็บสัมภาระและทานอาหารเย็น อาหารที่คุณป้าเจ้าของเตรียมไว้ให้คือ ผักต้มน้ำพริก หมูสะเต๊ะ และอั่วบักเผ็ด (พริกยัดไส้) ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ เราขอบอกไว้ก่อนว่าโฮมสเตย์ที่เราพักนั้นเป็นเหมือนบ้านของชาวบ้านที่นั่น แต่สะอาด ปลอดภัย มีเครื่องปรับอากาศ คือเหมือนเรามานอนบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดเลย และอาหารอร่อยมาก ถึงจะเป็นผักต้มธรรมดาแต่เหมือนเราได้นั่งรับประทานกับครอบครัวเลย แค่มีเพื่อนร่วมโต๊ะที่หน้าเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ คุณป้าก็บอกว่ามันจะมีถนนสายวัฒนธรรมลาวเวียง ทุก ๆ วันเสาร์แรกของเดือน อยู่ถัดไปอีกซอยให้เราและเพื่อน ๆ ขับซาเล้งไปได้เลยนะ จะได้ไม่ต้องเดิน ได้ยินคุณป้ายื่นข้อเสนอมาดังนั้น รออะไรคะสนุกแน่ เราและเพื่อนไม่เคยขับซาเล้งกันสักคนแต่ไหน ๆ ก็มาถึงละ ลองซะหน่อย "เอ้ยสนุกมาก" ความตื่นเต้นและเสียงหัวเราะผสานกัน ก่อเกิดเป็นความสุข ก่อนที่พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังถนนสายวัฒนธรรมลาวเวียง ระหว่างทางก็มีชาวบ้านทักทายเราอย่างเป็นกันเอง จนมาถึงถนนสายวัฒนธรรมลาวเวียง เราและเพื่อนยืนมองหน้ากัน ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร อาจจะตะลึงในความงดงามของวัฒนธรรมหรืออาจจะขอบคุณที่ชวนกันมาที่นี่ผ่านทางสายตา เหนือสิ่งอื่นใดคือเหมือนเราได้ย้อนยุคมาในอดีตหลีกหนีจากสังคมเมืองอาหารของที่นี่ส่วนใหญ่จะใส่ในภาชนะใบตอง การแต่งกายของแม่ค้าก็เหมือนชาวบ้านสมัยก่อน เราเลยจินตนาการว่าเป็นขุนนางที่มีเพื่อนเป็นบ่าวคอยเดินตาม แต่จินตนาการนั้นก็ได้ดับลง เมื่อได้ยินคำว่า "ถ่ายรูปให้หน่อย" เราและเพื่อน ๆ ได้ของกินเต็มไม้เต็มมือมีทั้งน้ำสมุนไพร ขนมเบื้องลาว ขนมขี้หนู ส่วนมากจะเป็นขนมเพราะคุณป้าเค้าจัดอาหารเย็นไว้ให้เราจนอิ่ม ไม่เข้าใจเหมือนกันนะเวลาเราไปเที่ยวที่ที่มีความสุขนาฬิกามักจะเดินเร็ว หรือที่จริงนาฬิกาอาจจะเดินเท่าเดิม แต่ความสุขนั่นแหละที่เดินเร็ว ดึกมากแล้วพวกเราเลยตัดสินใจกลับที่พัก เช้าวันรุ่งขึ้น คุณป้ากล่าวอรุณสวัสดิ์ด้วยคำว่า "กินข้าวกันเด็ก ๆ" มือเช้าของเราเหมือนเช่นเดิม เพิ่มเติมคือข้าวเยอะขึ้นกว่าเดิม เพราะคุณป้ากลัวเราไม่อิ่ม อาหารของเช้านี้คือ ปลาทอด ผัดขนุน แกงจืดและผักต้ม หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เราและเพื่อน ๆ ต่างพากันขับซาเล้งไปชมสะพานข้ามแม่น้ำ จากคำแนะนำของคุณป้าเช่นเดิม เราขับกันมาไกลมากจนคิดว่า หลง หลงในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หลงทางนะ แต่หลงในบรรยากาศของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ พอจะมีเวลาให้เราได้หาเฟรมถ่ายรูปใหม่ ๆ และตื่นเต้นกับความโคลงเคลงของสะพาน "กริ๊งๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกให้ตื่นจากความฝัน" เมื่อพี่คนขับรถคอกหมูมารอเราที่โฮมสเตย์ เราและเพื่อน ก็ได้ขับซาเล้งกลับมายังที่พัก พร้อมทั้งบอกลาคุณป้าอำพร "ขอบคุณนะคะคุณป้า วันหลังพวกหนูจะมาใหม่นะคะ" ระยะเวลา 2 วัน 1 คืน มันมีความหมายมากสำหรับพวกเรา มันทำให้เรารู้ว่าคำว่า "บ้าน" มีความหมายกว้างขึ้นและที่สำคัญความทรงจำของเราก็เพิ่มขึ้นด้วย ถนนสายวัฒนธรรมลาวเวียงก็คงจะเก็บพวกเราไว้ในความทรงจำเหมือนกันนะ สรุปยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งที่พัก ค่ารถและค่าอาหาร ราคา 700 บาท ราคานี้เทียบไม่ได้เลยกับความทรงจำอันแสนอบอุ่น ...ภาพถ่ายโดย 𝑀𝒶𝓎 𝑀𝒶𝓎...