“ชุดสวยนะครับเนี่ย” ผมมักจะใช้เป็นคำทักทายประจำเมื่อเจอคนใส่ชุดประจำถิ่นหรือชุดในแบบกลุ่มชาติพันธุ์ตัวเองเวลาลงไปในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ต่อจากนั้น ก็จะชวนคุยและขอให้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชุดที่ใส่ว่ามีความเป็นมายังไงรวมถึงความรู้สึกของคนที่ใส่ชุดนั้น ๆ ด้วย คราวนี้ผมที่เมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เพราะได้ยินว่าผ้าซิ่นตีนจกที่นี่สวยงาม มีความเป็นเอกลักษณ์ นอกจากมีรางวัลOTOPระดับ 5 ดาวการันตีคุณภาพแล้ว ราคาที่แสนแพงและอายุที่ยาวนานร่วม 200 ปีก็เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจ ทำให้น่าค้นหาและเรียนรู้วิถีอารยวัฒนธรรมการแต่งกายของคนที่นี่มากขึ้นไปอีก ตัวเมืองลับแลทุกวันนี้ ยังคงเป็นเมืองที่สงบเงียบ วิถีชีวิตผู้คนมีความงดงามอยู่ในตัวและเรียบง่าย เรื่องเล่าตำนานว่าเป็นเมืองแม่ม่ายยังคงถูกกล่าวถึงอยู่ แม้ว่าคนจะรู้จักน้อยลงกว่าเรื่องทุเรียนหลงและหลิน ลับแลก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญด้านประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดเช่นเดิม กลุ่มคนที่อาศัยชุมชนเมืองลับแล ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน อพยพมาจากเชียงแสนมาตั้งหมู่บ้านครั้งแรกที่หมู่บ้านเชียงแสน บ้านนาทะเลและใกล้เคียงตั้งแต่สมัยสุโขทัย จึงยังคงส่งต่อและสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าและการแต่งกายไว้อย่างต่อเนื่องสืบสายกันมาโดยตลอด ด้วยความที่ชอบการแต่งกายที่สื่อความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ในแต่ละท้องถิ่นผมจึงไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก ไท-ยวน ลับแล หรือศูนย์การเรียนรู้ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าตีนจกไท-ยวน เพื่อศึกษาความเป็นมาของลวดลายและวิธีทอผ้าซิ่นตีนจกลายโบราณอายุกว่า 200 ปี และจากลวดลายผ้าทอในยุคปัจจุบัน รวมถึงภาพถ่ายและภาพวาดที่ได้บอกเล่าภูมิปัญญาวิถีชีวิตของสาวลับแลผ่านผ้าซิ่นตีนจก ทำให้พอเห็นเค้าลางแฟชั่นพัฒนาการการแต่งกายของหญิงสาวชาวลับแลมาระดับหนึ่ง จึงอยากจะขอมาเขียนให้อ่านกัน หลักฐานชิ้นแรก ที่ถือว่าเป็นรูปถ่ายที่เก่าแก่ที่สุดที่แสดงให้เห็นการแต่งกายของหญิงชาวลับแล คือ ภาพถ่ายช่างซอในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งปรากฏว่า หญิงสาวชาวลับแลในสมัยนั้น มีทั้งเปลือยอก มัดอก ห่มผ้าสะว้าน(ผ้าพาดไหล่)และใส่เสื้อแขนกระบอกขนาดพอดีตัว ส่วนช่างซอหญิงจะใส่เสื้อซิ่ว(สิ้ว)ซึ่งเป็นเสื้อสำหรับช่างซอโดยเฉพาะ จากนั้นจึงห่มทับด้วยผ้าสะว้าน และนุ่งผ้าซิ่นตีนจกกันทุกคน ส่วนเสื้อดำ เสื้อเก๋งและเสื้อสามดูก นั้นใส่ได้ทั้งช่างซอและผู้หญิงทั่วไป ต่อมาเมื่อเกิดการค้าขายกับชาวชาติตะวันตกมากขึ้น จึงเริ่มมีการใช้ผ้าจากต่างประเทศ เช่น ผ้าพิมพ์ลายลูกไม้มาทำผ้าสะว้าน ในภาพถ่ายจะเห็นภาพหญิงสาวห่มผ้าสะว้าน 2 ชั้น ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายของสตรีภาคกลาง สันนิฐานว่าอยู่ในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 6 ช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ถึงต้นรัชกาลที่ 7 หญิงชาวลับแลเริ่มใส่เสื้อปีกหิ้น เสื้อห้อยบ่า นิยมห้อยผ้าเช็ดหน้าลายลูกไม้ที่เอว อาจมีไว้แทนผ้าสะว้านก็ได้ ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 7 จนถึงต้นรัชกาลที่ 9 การใช้ผ้าลูกไม้มาตัดเสื้อเป็นที่นิยมมากขึ้นและแพร่หลายอย่างมาก มีทั้งแบบแขนสั้น แขน 3 ส่วน และแขนยาว นอกจากนี้ มีการนำผ้าลูกไม้พื้นเมืองมาทอทำเสื้อตัวสั้นเข้ารูปในแบบคอปก คอวี คอบัวหรือรูปแบบที่ร่วมสมัยขึ้น มีทั้งเสื้อแขนสั้นและแขนยาว ทำให้การใช้ผ้าสะว้านลดลงและบางคนก็ไม่ใช้อีกเลย ส่วนผ้าซิ่นก็ยังนิยมนุ่งผ้าซิ่นตีนจกและซิ่นพื้นเมืองลับแลเช่นเดิม ปัจจุบัน สไตล์แฟชั่นการแต่งตัวของสตรีชาวลับแลมีหลากหลายมากขึ้น แต่ก็ยังสามารถพบเห็นการแต่งกายที่หยิบยืมสไตล์หรือแฟชั่นการแต่งกายในอดีตได้บ้าง แม้ส่วนใหญ่จะเจอในงานบุญประเพณีและงานราชการเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม จากที่ผมเขียนมา จะเห็นว่ารูปแบบหรือค่านิยมการแต่งกายของสตรีชาวลับแลแต่ละยุคสมัยนั้น แตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมในช่วงเวลานั้น ๆ วัสดุและวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มก็ปรับให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจและฐานะทางสังคม นอกเหนือจากนั้น อิทธิพลแฟชั่นจากไทยส่วนกลางก็มีส่วนอย่างมากในการประยุกต์ให้เกิดความร่วมสมัยมากขึ้น เมืองลับแลทุกวันนี้ ยังคงมีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวอีกหลากหลายมิติให้ชวนเข้าไปค้นหา เพราะพื้นที่แห่งนี้คือ แผ่นดินลับแล ดินแดนลึกลับ ที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่รอการค้นพบอีกมากมาย หมายเหตุ ปัจจุบันประวัติศาสตร์เมืองลับแลอยู่ระหว่างการค้นหาข้อเท็จจริงในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม ผู้เขียนจึงขอเรียกคำต่าง ๆ ในแบบเดิมไปก่อนเพื่อให้สื่อสารกันถูกต้องตามข้อมูลที่รับรู้กันโดยมาก ภาพประกอบที่ 1 2 3 5 6 โดยผู้เขียน ภาพประกอบที่ 4 ขอบคุณเพจ พิพิธภัณฑ์เรือนลับแลโบราณ เลอ ลับแลง Le lablang art&cultural home