เปิดเรื่องเล่าผ่านตัวหนังสือ เรื่องแรกด้วยการพาคุณผู้อ่านทุกท่าน แวะพักกาย พักใจ ที่ร้านคาเฟ่ซึ่งมีทั้งกาแฟสด ขนมหวาน รวมถึงอาหารไทยแนวฟิวชั่น (Fusion Food) ตกแต่งร้านเรียบง่าย น้อยแต่มาก อย่าง “Busaba Café & Meal” ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครเท่าไหร่นัก เพราะคาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนอู่ทอง ท่าวาสุกรี พระนครศรีอยุธยา กรุงเก่าของเราแต่ก่อน นี่เองค่ะ ร้านนี้เจ้าของมีความตั้งใจ ผสมผสานอาหารไทยที่เราคุ้นชิน เข้ากับอาหารนานาชาติ ให้กลายเป็นอาหารลูกครึ่งร่วมสมัย จัดวางอย่างสวยงามน่าถ่ายรูปอัพโหลดลงอินสตาแกรมรัวๆ โดยเมนูที่ผู้เขียนได้สั่งมาลองทานนั้น คือ สปาเกตตี้ผัดไทกุ้งสด และ ข้าวไข่ข้นต้มยำกุ้ง ฟังจากชื่อเมนูที่สั่งมาแล้วก็พอรู้ได้ว่าเป็นการแปลงร่างอาหารไทยให้กลายเป็นอาหารร่วมสมัยอย่างแน่นอน ระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟ ผู้เขียนก็ขอหยิบเมนูมานั่งดูอีกสักรอบเผื่อสั่งอะไรเพิ่มเติม เปิดเมนูอย่างรวดเร็วไปที่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ก็ต้องหยุดความคิดที่จะสั่งอะไรเพิ่มลงสักครู่ พร้อมกลับมาพิจารณาที่เจ้าเมนู เล่มสีขาวนวล ขนาด A4 อย่างตั้งใจอีกครั้ง โดยเปิดอ่านใหม่ตั้งแต่หน้าแรก ใช่แล้วค่ะ คุณผู้อ่านขา “เมนู” เล่มนี้ ผู้เขียนขอชมเชยในไอเดียเลยจริงๆ เพราะมันไม่ได้ทำหน้าที่แค่บอกรายการอาหารเท่านั้น แต่เจ้าเล่มสีขาวนวลนั้น ยังเป็นผู้เล่าเรื่องราวต่างๆ ของร้านนี้อีกด้วย โดยเริ่มที่หน้าแรก กล่าวถึงจุดเริ่มของแนวคิด และที่มาของร้าน สินค้า รวมถึงการบริการภายใต้ชื่อ บุษบา เปิดเข้าไปหน่อยก็จะพบกับของคาว ของหวาน หลากหลายเมนู เริ่มต้นในแต่ละหน้าของเมนู ทางร้านจะเขียนคำโปรย หรือสโลแกนเอาไว้เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจไอเดียในการผสมผสานมากยิ่งขึ้น โดยตัวอย่างที่ผู้เขียนขอหยิบยกมา (เพราะโดนใจ) เช่น “รสชาติกาแฟบุษบามีรสชาติเหมือนนุ่งยีนส์ฮิปสเตอร์ แต่คาดผ้าขาวม้าในเวลาเดียวกัน” อ่านแล้วอยากลองเป็นฮิปสเตอร์คาดผ้าขาวม้าขึ้นมาทันที สำหรับหน้ารองสุดท้ายผู้เขียนปลื้มเป็นพิเศษ เพราะทางร้านเฉลยถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบอันแสนอร่อย ไม่ได้มาจากที่ไหนไกลเลย มาจาก พี่ ป้า น้า อา ชาวกรุงเก่า นี่เอง! เป็นการส่งเสริมอาชีพให้คนท้องถิ่นไปในตัว ส่วนหน้าสุดท้าย เจ้าของร้านยังแถมเส้นทางในการท่องเที่ยวรอบกรุงเก่ามาให้ด้วยเผื่อลูกค้าสนใจพอทานอาหารเสร็จปุ๊บ ก็เที่ยวรอบกรุงปั๊บ เปิดดูเมนูไปสักครู่ อาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟ หน้าตาไม่ต่างจากในเมนูที่เราเห็นเท่าไหร่ สิ่งแรกที่ลองกินคือเจ้ากุ้งที่อยู่ในสปาเก็ตตี้ผัดไท ขอบอกเลยค่ะว่า ไม่เสียชื่อเมืองกุ้งเสียจริงๆ เนื้อกุ้งเต็มคำ หวาน รสชาติดีมากๆ พลาดไม่ได้เลยนะคะสำหรับเมนูนี้ที่เป็น signature ของร้าน ดูเอาเถอะ! ขนาดเส้นสายไหมของฝากเมืองกรุงศรีทางร้านยังนำมาตกแต่งบนเส้นสปาเก็ตตี้ได้เลย ส่วนข้าวไข่ข้นต้มยำกุ้งนั้นก็แซ่บไม่เหมือนใคร คือจะบอกว่าทานแล้วได้อารมณ์ ข้าวหน้าไข่ข้นหมูทงคัตสึ อาหารญี่ปุ่น แต่มีรสชาติความจัดจ้านของต้มยำแบบฉบับอาหารไทยที่เราคุ้นเคย สำหรับเมนูสุดท้ายที่ผู้เขียนสั่งกลับบ้าน คือ กาแฟอบควันเทียนเย็น โดยงงงวยอยู่นานว่ามันคืออะไรนะ เลยแอบถามน้องพนักงานว่าเจ้าเมนูนี้มันคืออะไร น้องพนักงานหน้ามน “คนยุดยา” ตอบกลับมาว่าทางร้านได้นำไซรัป หรือน้ำเชื่อมไปอบควันเทียนเพื่อให้มีกลิ่นหอม แล้วเติมลงไปในกาแฟสด ผสมนม ให้อารมณ์เหมือนย้อนเข้าไปในครัวไทยสมัยแม่การะเกดอบขนมกลีบลำดวน (ประโยคหลังน้องไม่ได้ตอบ ผู้เขียนมโนเอง) จบคำตอบจากน้องหน้ามนผู้เขียนเลยขอสั่งมาลองสักแก้ว ขอบอกว่า กาแฟสดของทางร้านรสชาติดีอยู่นะคะ เล่ามาทั้งหมด ยังไม่ครบองค์ประกอบความชิคของคาเฟ่แห่งนี้ ที่หากจะไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ คือ แนวคิดในการตกแต่งร้าน ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นจุดเด่นเลยทีเดียว เริ่มที่เจ้าของร้านมีแนวคิดว่า “ของอยุธยา… ไม่เห็นต้องโบราณเหมือนมาจากสมัยอยุธยาก็ได้นี่!” นำมาสู่การผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา เข้ากับศิลปะในยุคโซเชียลมีเดียได้อย่างลงตัว มีความน้อยแต่มาก ถ่ายรูปมุมไหนออกมาก็เท่ ซึ่งผู้เขียนขอใช้คำว่า “อยุธยา มินิมอล” กับผลงานการออกแบบร้าน “Busaba Café & Meal” เลยแล้วกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายผู้เขียนแอบเผลอลบรูปบรรยากาศภายในร้านไป มีไว้แต่บริเวณหน้าร้าน และข้างร้านเฉพาะจุดที่ทางร้านจัดไว้ให้ถ่าย แต่ภายในส่วนของห้องพักริมน้ำทางร้านขอสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับผู้เข้าพักเท่านั้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน หากคุณผู้อ่านอยากสัมผัสกับกลิ่นอายบรรยากาศแบบอยุธยา มินิมอล ที่ผู้เขียนให้คำจำกัดความไปนั้น ก็อย่ารอช้าเลยค่ะ วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึงเมื่อไหร่รีบแวะเวียนไปเช็คอินที่ “Busaba Café & Meal” กันนะคะ รับรองไม่ผิดหวัง ณ. ที่ที่มีแสงสว่าง และความสนุกสนาน เล่าเรื่อง : NapatSanook ( ณ. ที่ที่มีแสงสว่าง และความสนุกสนาน )ภาพประกอบ : NapatSanook ( ณ. ที่ที่มีแสงสว่าง และความสนุกสนาน )