ในชีวิตการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาที่เรามักเจอเรื่องยุ่งยากแต่จัดการกับมันไม่ได้ บางครั้งก็ด้วยความไม่รอบคอบ อ่อนประสบการณ์ของเรา หรือบางครั้งมันก็ปรับตัวกับปัญหาได้ยาก หนังสือเล่มนี้มีคำตอบเกี่ยวกับชีวิตในที่ทำงานมาฝากกันครับจากประสบการณ์ทำงานมาค่อนชีวิตของอุเอะดะ จุนจิ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ได้ให้คำแนะนำได้อย่างน่าสนใจ ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนหนังสือเอง ซึ่งจะมาตอบคำถามคาใจของคนทำงาน โดยเฉพาะงานในด้านออฟฟิศต้องประสบพบเจอ โดยให้คำแนะนำและข้อคิดในลักษณะถามตอบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาไปทีละข้อ และเราสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้สำหรับผู้เขียนเองก็เคยเจอปัญหาถึงความขัดแย้งกับบุคลากรในที่ทำงานเก่ามาก่อน จึงรู้สึกว่าเนื้อหาภายในเล่มเป็นเรื่องจำเป็นที่ผมต้องศึกษาเอาไว้ก่อน เพราะชีวิตการทำงานมีโอกาสเกิดปัญหาได้ตลอดเวลา เราจึงต้องรู้ ต้องเข้าใจ เพื่อการปรับตัวได้อย่างถูกต้อง ประสบความสำเร็จและมีความสุขในโลกแห่งการทำงาน แนวคิดที่ได้ภายในเล่มเมื่อถูกหัวหน้าตำหนิดุด้วยถ้อยคำรุนแรง เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับตัวกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรให้ได้โดยตระหนักถึงแนวคิดของหัวหน้าอยู่ตลอด ถ้ามีความคิดที่ว่า ผมประจบไม่เป็น ผมทำงานแบบเอาหัวหน้าเป็นที่ตั้งไม่ได้ แบบนี้ต่อไปต่อให้ย้ายไปทำงานที่ใหม่ก็อาจเกิดเรื่องทำนองเดียวกันอีกก็ได้ ในฐานะคนทำงานแล้ว แม้เขาจะเป็นหัวหน้าที่แย่ แต่การจับจังหวะการทำงานให้เข้ากับหัวหน้าก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่ต้องมี การพยายามเสนอแนะความเห็นอย่างเต็มที่เป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่เราต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนในองค์กรด้วย หากทำได้เช่นนี้ คนอื่นถึงจะรับฟังความคิดเห็นของเรา ถ้าอยากแสดงความเป็นผู้นำ ให้คนเป็นหัวหน้าถาม How ส่วนลูกน้องให้ตอบ Why เพื่อหลีกเลี่ยงการสนทนาที่ยืดเยื้อ นอกจากนี้หัวหน้าควรมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้องนอกเวลางานอย่างช่วงเวลาสังสรรค์บ้าง บางครั้งใจของเราจดจ่ออยู่กับการเลื่อนตำแหน่ง ความก้าวหน้าในบริษัทมากเกินไป พลังงานด้านลบจะถูกปล่อยออกมา ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายเคสที่เรามุ่งมั่นมากๆว่า ผมจะทำพลาดตรงจุดนี้ไม่ได้ นั่นกลับทำให้เราพลาดในเรื่องพื้นๆได้ ก็มีให้เห็นอยู่มาก แทนที่จะคิดว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ให้คิดว่าเราจะทำงานอย่างสนุกสนานกับทีมอย่างกลมเกลียวดีกว่า เพราะถ้าทำงานได้ด้วยความสนุก เราจะเต็มที่กับงานไปเอง ซึ่งช่วยให้บรรยากาศการทำงานน่าอยู่และผลของงานก็ออกมาสำเร็จด้วยดี ย่อมมีโอกาสได้รับการเลื่อนขั้นได้มากขึ้น บางครั้งการทำงานในบริษัทก็เกิดเรื่องขัดแย้งได้ แต่ขอให้สะสมพลังบวกจากการทำงานให้สนุกเข้าไว้ เพราะการที่เราทำงานด้วยพลังบวก คนอื่นจะมองเราว่าทำงานด้วยแล้วสบายใจ ฉะนั้น สิ่งสำคัญในการทำงานไม่ได้มีแค่ผลงาน แต่พลังงานที่แผ่จากตัวเราก็สำคัญเช่นกัน ย้ำเตือนตัวเองไว้ว่าพลังงานที่มีชีวิตชีวา ชีวิตจะพลิกผันไปสู่ทางที่ดี ก่อนลงมือทำโครงการจริง ถ้าบอกหัวหน้าไว้ก่อนว่ากำลังจะทำอะไร ถึงแม้จะล้มเหลวก็จะได้ไม่ถูกตำหนิ แต่ถ้าเราคิดเอง ทำเอง โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า แล้วเกิดล้มเหลวขึ้นมา ย่อมถูกตำหนิเป็นธรรมดา ประเด็นก็คือ เราต้องหาวิธีรับมือความเสี่ยงจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบเพียงลำพัง เราต้องหาหลักประกันอย่างหัวหน้าที่ช่วยรับประกันความเสี่ยงให้ การจะทำอะไรต้องกล้าลุย แต่ไม่ใช่ลุยส่งเดช เราต้องหาวิธีรับมือกับความเสี่ยงไว้ให้พร้อมก่อน แล้วค่อยงัดความกล้านั้นออกมาใช้ แทนที่เราจะตัดสินใจเองทุกอย่าง ควรปรึกษาหัวหน้าด้วย เพื่อให้หัวหน้าวินิจฉัย พิจารณา และให้ความเห็นชอบ นี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้หัวหน้าจะปฏิเสธไอเดียของเรา แต่อย่างน้อยเขาก็เห็นและอาจประเมินเราในทางบวกที่เห็นเรากระตือรือร้น ภายใต้การทำงานแบบเป็นองค์กร เราจะเป็นฝ่ายเข้าหาหัวหน้าเอง จริงอยู่ หัวหน้าบางคนอาจหัวแข็งมันก็ยากที่จะผลักดันไอเดียของเรา แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเราเอง วิธีแก้คือหมั่นสื่อสารกับหัวหน้าอย่างกระตือรือร้น เพื่อให้หัวหน้าเกิดรู้สึกอยากสนับสนุนเรา ถ้าเราเป็นฝ่ายเข้าหา หัวหน้าต้องหันมาเป็นพวกเดียวกันกับเราแน่นอน ตรงกันข้าม หากทำงานด้วยความรู้สึกว่าต้องทำ รู้สึกว่าต้องทำตามคำสั่ง ก็คงทำงานออกมาได้ไม่ดี ไม่มีทางที่หัวหน้าจะให้การสนับสนุน ประเด็นเรื่องรู้สึกแย่กับตัวเองเพราะต้องให้สอนงานซ้ำหรือพูดภาษาในที่ทำงานไม่ค่อยถนัด แท้ที่จริงแล้วอย่าได้รู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะคนเราต้องใช้เวลาทำงาน 3 -5 ปี เพื่อทำความคุ้นชิน ระหว่างนี้ขอให้เรียนรู้จากสารพัดความผิดพลาด แล้วเราจะหาหลักยึดในการคิดพิจารณาเจอ และคงพูดคุยเรื่องงานได้อย่างราบรื่น ตรงกันข้าม ถ้าผ่านไป 5 ปีแล้ว เรายังคิดพิจารณาได้ไม่เฉียบคม ต่อให้หัวหน้ามีเมตตาแค่ไหนก็อาจหงุดหงิดได้ ขอให้พยายามเข้าไว้ ส่วนความคิดเห็นของเราที่เสนอหัวหน้าไปอาจถูกปัดตกไปนั้น ไม่เป็นไร ขอให้ลองเสนอความคิดหรือไอเดียของตัวเองให้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกฝนความคิดจากประสบการณ์ รู้เทคนิคถ่ายทอดความคิดของตัวเอง รวมทั้งรู้จักโน้มน้าวใจผู้อื่น หากไม่สะดวกทำงานเต็มเวลาเพราะธุระจำเป็นอย่างการเลี้ยงดูบุตรสามารถแจ้งทางบริษัทได้โดยตรง ถ้าถูกปฏิเสธ ก็ขอให้ลองต่อรองขอทำงานเต็มเวลาสัปดาห์ละ 1-2 วัน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งตัวเราและกับบริษัทด้วย เวลาคนเราทุกข์ใจย่อมมองอะไรด้านเดียว ย่อมยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปตลอดไม่ได้ ต้องหาจังหวะที่จะเปลี่ยนมุมมอง ลองคิดจากมุมมองของอีกฝ่ายดูบ้าง แล้วคิดว่าคนอื่นมองตัวเราอย่างไร เพียงเท่านี้เราก็พิจารณาเรื่องราวในมุมมองที่ต่างจากเดิมได้แล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับแนวคิดการทำงานในแบบของคนญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าชั่วโมงทำงานโหดระดับต้นๆของโลก อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องของคน ถ้าอยู่กันได้อย่างสมานฉันท์ก็ดีไป แต่ถ้าขัดข้องหมางใจกัน ก็ยากจะทำงานร่วมกัน แต่ก็ต้องทนทำงานไปด้วยเคมีหรือจริตที่ไม่ตรงกัน ดังนั้น เราย่อมต้องหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้น ในมุมมองของผู้เขียนมองว่าเราคงได้ประโยชน์หนังสือเล่มนี้ไม่มากก็น้อย เครดิตภาพภาพปก โดย Samantha Gades จาก Unsplash.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย Laura Davidson จาก Unsplash.comภาพที่ 4 โดย krakenimages จาก Unsplash.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ จริงๆแล้วเจ้านายต้องการอะไรจากเรารีวิวหนังสือ”เวลาทำงานต้องใส่จิตวิญญาณลงไปด้วย”รีวิวหนังสือ “เดอะท็อปซีเคร็ต”TrueID In-Trend แหล่งสร้างคอนเทนต์หารายได้เสริมช่วงโควิด-19รวมภาษิตอังกฤษ เป็นกำลังใจทุกความเจ็บปวดอัปเดตสาระดี ๆ มีประโยชน์แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !