“Rich Dad, Poor Dad พ่อรวยสอนลูก หนึ่งในหนังสือขายดีที่คนอยากรวยต้องอ่าน โดยเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้สำหรับพ่อรวย (Rich Dad) คือ เป็นพ่อของผู้เขียน ส่วนพ่อจน (Poor Dad) นั้นเป็นพ่อแท้ ๆ ของผู้เขียนนั่นเอง ซึ่งพ่อทั้งสองคนนั้นต่างมีอิทธิพลกับตัวผู้เขียนอย่างคุณโรงเบิร์ต คิโยซากิ (ผู้เขียน) เป็นอย่างมาก นอกจากสถานภาพของพ่อทั้งสองจะมีความแตกต่างกันแล้วนั้น แน่นอนว่าวิธีการสอนลูกย่อมแตกต่างสำคัญ ซึ่งวิธีการสอนนี่แหละที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำพามาซึ่งหนทางแห่งความร่ำรวยสารบัญ ในหนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วย 10 บท ดังต่อไปนี้บทที่ 1 พ่อรวย-พ่อจนบทที่ 2 คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงินบทที่ 3 ทำไมต้องรู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆบทที่ 4 เพิ่มทรัพย์สิน-ทำธุรกิจของตัวเองบทที่ 5 ที่มาของภาษีและประโยชน์ของนิติบุคคลบทที่ 6 วิธีทำเงินของคนรวยบทที่ 7 ทำงานเพื่อเรียนรู้-อย่าทำงานเพื่อเงินบทที่ 8 ฟันฝ่าอุปสรรคบทที่ 9 เริ่มต้นอย่างไรดีบทที่ 10 ข้อควรทำ บทนำ : ความจำเป็น ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักสอนลูกว่า “ต้องตั้งใจเรียน โตมาจะได้สบาย มีงานทำดี ๆ” เราเองก็เป็นหนึ่งในลูกที่ถูกสอนโดยพ่อแม่แบบนั้นค่ะ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เปรียบเทียบคำสอนต่าง ๆ ได้ดีมากค่ะ โดยเฉพาะคำสอนที่มาจากพ่อรวยและพ่อจนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ สำหรับเราในตอนเด็ก ๆ นั้นก็มีความเชื่อแบบนั้นค่ะ เชื่อว่าถ้าตั้งใจเรียน มีเกรดดี ๆ ก็จะมีงานทำดี ๆ และมีความมั่นคงในการงาน แต่พอมานึกย้อนดูแล้วเราเห็นเพื่อน ๆ หลายคนที่ไม่ตั้งใจเรียน หรือเรียนไม่จบ บางคนก็กลับกลายเป็นนักธุรกิจ มีกิจการเป็นของตัวเอง ชีวิตดีกว่าเราอีกค่ะ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าการศึกษาในระบบแค่ในโรงเรียนนั้นมันไม่พอแล้ว เราอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก็ควรมีวิชาที่ให้เรียนมากขึ้นในโรงเรียน แต่ในความเป็นจริงนั้น โรงเรียนก็มักจะเน้นเนื้อหาทางวิชาการ ทั้ง ๆ ที่บทเรียนในชีวิตประจำวันก็สำคัญไม่แพ้กันโดยเฉพาะบทเรียนของวิชาทางการเงินที่จะช่วยให้เราได้ออกมาใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นได้ ซึ่งในหนังสือพ่อรวยสอนลูกก็ให้แง่คิดเรื่องการเงินไว้เยอะมาก ๆ ไปดูกันค่ะ! บทที่ 1 พ่อรวย-พ่อจน สำหรับในบทแรกนั้นคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ (ผู้เขียน) ได้เปรียบเทียบแนวคิดของทั้งพ่อรวยและพ่อจนที่มีแนวคิดต่างกันสิ้นเชิง เราชอบวลีที่สะดุดให้เราได้คิดระหว่างคำพูดพ่อรวยกับพ่อจนว่าพ่อจน: “ไม่มีปัญญาซื้อ” Vs พ่อรวย: “ทำยังไงจึงจะซื้อได้” จากทั้งสองประโยคนี้มีความแตกต่างกันสิ้นเชิง คำพูดของพ่อจนนั้นเป็นคำพูดลอย ๆ ที่จบไป แต่คำพูดของพ่อรวยนั้นเป็นการตั้งคำถามเพื่อที่จะหาหนทางต่อไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการตั้งคำถามเป็นสิ่งสำคัญ และนำไปสู่การกระทำแห่งความสำเร็จได้หรือตัวอย่างคำพูดพ่อรวยและพ่อจนอื่น ๆ ที่ทำให้เปลี่ยนความคิดของเราได้เลยค่ะพ่อจน: “เรียนมาก ๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง” Vs พ่อรวย: “เรียนมาก ๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง”พ่อจน: “พ่อไม่รวยก็ เพราะพ่อมีลูก” Vs พ่อรวย: “พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก”พ่อจน: “เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน” Vs พ่อรวย: “ต้องรู้วิธีจัดการกับความเสี่ยง” ซึ่งคำพูดทั้ง 2 คนนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งแค่เปลี่ยนวิธีคิดหรือที่เราเรียกว่า Mindset (มายเซ็ท) ชีวิตเราก็เปลี่ยนไปจริง ๆ ค่ะ แค่เริ่มที่วิธีคิด โดยเฉพาะการคิดตั้งคำถาม เรานึกถึงตอนที่ครูมักถามว่า “มีใครมีคำถามมั้ย” อันนี้สำคัญมากเพราะคำถามที่ดีจะนำไปซึ่งคำตอบที่ดีค่ะ เช่นเดียวกับความคิดเชิงบวกก็จะนำสิ่งดีกลับมา เราเชื่อแบบนั้นนะบทที่ 2 คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน ใบบทที่ 2 นี้เป็นเรื่องราวของเด็ก 2 คนซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ คุณนักเขียนเองนั่นแหละค่ะ กับเพื่อนของเขา และพ่อรวยคนสำคัญของเรื่อง โดยในบทนี้เล่าถึงบทเรียนของการไม่ทำงานเพื่อเงิน แต่เป็นการให้เงินทำงานแทนเรา ซึ่งเราอ่านแล้วรู้สึกทึ่งมากเลยค่ะ เพราะหากเรามองย้อนกลับไป หรือมองหาโอกาสจากสิ่งรอบตัวมากขึ้น ก็จะทำให้เราได้มีโอกาสให้เงินของเราได้เติบโตด้วยตัวของมันเองเหมือนกับเงินมันทำงานให้เรานั่นแหละค่ะ ในตอนนี้พูดถึงผู้เขียนในตอนเด็ก ๆ นั้นเป็นคนธรรมดา ไม่ได้รำ่รวยอะไร แต่ได้เรียนในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยคนรวย เด็กรวย ๆ ก็มักจะมาอวดของเล่นใหม่ ๆ กัน แต่นักเขียนนั้นไม่ได้มีของเล่นใหม่ ๆ เหมือนคนอื่นเขา แถมยังโดนกล่าวหาว่าจนอีกต่างหาก คงเป็นธรรมดาที่เมื่อเด็กคนหนึ่งเจอสถานการณ์แบบนี้เขาจึงอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา จึงหาทางเพื่อที่จะได้เงินมา และได้ให้พ่อรวยซึ่งเป็นพ่อของเพื่อนนั้นช่วยสอนบทเรียนการหาเงินให้เขา ซึ่งเป็นบทเรียนที่โหดมากสำหรับเด็กอายุ 9 ปีในตอนนั้น จนท้ายที่สุดแล้ว ทั้งนักเขียนและเพื่อนเขาได้ทำงานกับพ่อรวย ในตอนแรกพวกเขายังได้ค่าตอบแทน ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้ค่าตอบแทนเลยสักบาท เป็นการให้ทำงานฟรี ๆ นั่นแหละค่ะ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ได้รับบทเรียนอันแสนยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเขาเอง เขาสามารถให้เงินทำงานแทนเขาได้ จนมีค่าตอบแทนที่สูงกว่าที่พ่อรวยจ้างเขาในตอนแรกเสียอีก ดังนั้นแล้วการทำงานเพื่อเงินไม่ได้การันตีผลลัพธ์ว่าจะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าการให้เงินทำงาน บทที่ 3 ทำไมต้องรู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มีคนรวยหลายคนที่รวยเอามาก ๆ ในเวลาอันรวดเร็ว แต่แล้วก็กลับมาจนลงเหมือนเดิม การเป็นเช่นนี้นั้นหนังสือจึงให้แง่คิดที่ว่า “การมีเงินมาก ๆ นั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีรักษามันไว้ให้อยู่กับเราตลอดไป” ดังนั้นเราจึงต้องมีความรู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั่นเองคำสำคัญที่ควรรู้: ทรัพย์สิน-หนี้สิน, งบกำไรขาดทุน และงบดุล, กระแสเงินสด บทที่ 4 เพิ่มทรัพย์สิน-ทำธุรกิจของตัวเอง ในบทที่ 4 นี้ทางผู้เขียนให้เหตุผลและแนะนำให้เพิ่มทรัพย์สินของตนเองหรือทำธุรกิจของตัวเอง โดยคนส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกการเป็นลูกจ้างบริษัท/พนักงานบริษัท หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราทำงานให้เขา ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะถ้าคุณชอบแบบนี้ก็ทำไป ทางเลือกคนเราไม่เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญนั้นหากเรามีความฝันหรือเคยมีความฝันอยากทำธุรกิจของตนเองล่ะก็ให้ทำเถอะค่ะ การทำงานเหนื่อยเพื่อเงินของตัวเองก็อาจยังดีกว่าทำงานเหนื่อยเพื่อให้เงินกับคนอื่นหรือทำงานเงินให้เจ้าของบริษัทแทนที่จะเป็นตัวเอง แต่ถึงอย่างไรอย่างที่บอกไปแม้ว่าเราจะไม่ได้เลือกทำธุรกิจของตนเอง ก็ใช่ว่าเราจะไม่สามารถให้เงินทำงานแทนเราได้ ซึ่งการให้เงินทำงานแทนเราได้นั้นก็คือ “การเพิ่มทรัพย์สินของตนเอง” เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ตั๋วเงิน ค่าผลงานลิขสิทธิ์ของตนเอง และสิ่งใดก็ตามที่สามารถสร้างรายได้หรือเพิ่มมูลค่าของตัวเองและมีตลาดรองรับ สิ่งเหล่านี้นี่แหละค่ะที่จะช่วยให้เราก้าวไปสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน จากที่เราเก็บออมเงินโดยการฝากธนาคาร ก็เปลี่ยนมาเป็นเอาเงินเข้ากองทุนรวม หรือหุ้นแทน เป็นต้น ผลลัพธ์ทางการเงินที่ได้ก็จะต่างออกไป และดียิ่งขึ้นได้ (หากเรามีความรู้ทางการเงินด้วยนะคะ) บทที่ 5 ที่มาของภาษีและประโยชน์ของนิติบุคคล สำหรับในบทนี้เราอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก และคงต้องศึกษาเรื่องการเงินให้มากกว่านี้อีกมากเลยแหละ เพราะบทนี้พูดถึงที่มาของภาษี ความแตกต่างของการการเสียภาษีระหว่างคนรวยและคนจน มักจะพบว่าคนรวยนั้นเสียภาษีน้อยกว่าที่คิด แต่ในทางกลับกันคนจนมักเสียภาษีเป็นจำนวนมาก ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็บอกว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนรวยมีเงิน สามารถตั้งบริษัทเป็นของตนเองได้ เป็นนิติบุคคล แต่สำหรับคนจนนั้นเป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งสำหรับนิติบุคคลนั้นที่มีบริษัทเป็นของตนเองสามารถหาวิธีการเลี่ยงภาษีได้มากกว่า เมื่อมีรายได้เข้ามา ก็นำรายได้ส่วนนั้นไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายก่อนได้ และค่อยหักภาษี แตกต่างจากลูกจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดาเมื่อได้เงินเดือนมาแล้วนั้นก็จะถูกหักภาษีก่อนและถึงจะนำเงินส่วนที่เหลือไปเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จึงเห็นได้ว่าทำไมการเสียภาษีของคนรวยและคนจนหรือคนชั้นกลางจึงมีความแตกต่างกัน และข้อได้เปรียบของคนรวยที่มีบริษัทเป็นของตนเองบทที่ 6 วิธีทำเงินของคนรวย ในบทนี้ทำความเข้าใจยากขึ้นเรื่อย ๆ มีเรื่องของการลงทุน การจัดการซื้อขาย มีการวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจในแต่ละยุคสมัย รวมถึงมีการยกตัวอย่างการทำเงินอย่างมหาศาล และกฎ นิสัย วิธีการต่าง ๆ รวมถึงแง่คิดในหลักของการทำงาน ซึ่งที่เน้น ๆ ก็คือ การมีความรู้เรื่องเงินนั้นเป็นสิ่งสำคัญ “เงินไม่ใช่ของจริง แต่เป็นสติปัญญาต่างหาก” หากเรามีความรู้การเงินมากพอ ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือไม่ เราก็สามารถทำเงินได้ โดยทักษะที่จำเป็นที่สุดสำหรับนักลงทุนอย่างมืออาชีพนั้นก็คือ 1. ทำอย่างไรจึงจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น 2. ทำอย่างไรจึงจะได้เงินมาทำทุน 3. ทำอย่างไรจึงจะได้คนฉลาดมาเป็นลูกจ้าง บทที่ 7 ทำงานเพื่อเรียนรู้-อย่าทำงานเพื่อเงิน จาก 6 บทที่ผ่านมาส่วนตัวชอบบทนี้มากที่สุด เพราะจากเนื้อหาที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เลือกการทำงานอย่างหลากหลายด้านนั้นก็เพื่อมาพัฒนาศักยภาพของตนเอง หากไม่เก่งการพูด การสื่อสาร ก็ให้ไปเรียนการขาย หากไม่ชอบตัวเลข การเงินก็ควรไปเรียนการบัญชี หรือการเรียนรู้อีกมากมายที่จะช่วยมาพัฒนาศักยภาพของเราได้ ซึ่งทำให้เรานึกถึงคำนึงขึ้นมา และในปัจจุบันคงจะเคยได้ยินกับคำว่า “ รู้อย่างเป็ด” ซึ่งหมายถึงการที่รอบรู้ไปซะทุกด้าน แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญชำนาญในด้านนั้น ๆ มากนัก” จากข้อความข้างต้นแม้คุณจะเป็นเป็ดที่รู้ไปทุกอย่าง แต่ถึงแม้จะไม่ได้มีความชำนาญเฉพาะด้านนั้น ก็เหมือนเป็นการกระจายความเสี่ยง เช่น หากคุณเป็นหมอเฉพาะด้าน แล้ววันหนึ่งในด้านนั้น ๆ คนต้องการน้อย มีแรงงานล้นตลาด มีโอกาสสูงมากที่คุณจะตกงาน และหางานทำได้ยาก เพราะคุณแทบจะไม่มีความรู้เรื่องอื่น ๆ เลยนอกจากเรื่องเฉพาะด้านที่คุณเรียนมา ดังนั้นการที่คุณแสวงหาความรู้รอบด้าน สั่งสมประสบการณ์ที่หลากหลาย นอกจากจะเพิ่มศักยภาพของคุณแล้ว ยังลดความเสี่ยงที่จะไม่มีงานทำ เพราะคุณสามารถปรับตัวและมีความรู้รอบด้านนั่นเอง หนังสือแนะนำ: “ถ้าอยากรวยและมีความสุข อย่าไปโรงเรียน” บทที่ 8 ฟันฝ่าอุปสรรค บทนี้ช่วยให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่าเพราะอะไรคุณถึงยังไม่รวยสักที โดยมาจากสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้1. ความกลัว ก้าวแรกของอุปสรรคต่าง ๆ ก็คือ “ความกลัว” เราก็เชื่อแบบนั้นนะคะ เพราะทุกครั้งที่เราจะเริ่มทำอะไรหรือลองอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยลอง เราก็มักจะกลัวไปก่อนแล้วค่ะ แน่นอนว่าเราไม่สามารถบังคับตัวเราเองให้ไม่กลัวได้ แต่เราสามารถจัดการความกลัวของเราได้ค่ะ ก็เหมือนกับการปั่นจักรยานหรือการขับรถนั่นแหละค่ะ แรก ๆ เราก็จะเกิดความกลัว กลัวว่าจะล้ม กลัวว่าจะพลาด แต่เมื่อเราได้ลองทำไปเรื่อย ๆ แล้ว เราก็เกิดความชำนาญมากขึ้น จากความกลัวในแต่แรกก็จะเปลี่ยนเป็นความสนุกและท้าทาย สามารถปั่นหรือขับไปที่ไหนก็ได้ที่เราต้องการ ดังนั้นหากคุณอยากจะโบยบินไปในอิสรภาพทางการเงินเหมือนกับการปั่นจักรยานไปไหนก็ได้นั้น คุณต้องก้าวข้ามผ่านความกลัวนี้ไปให้ได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้น้าา เราเองก็จะพยายามเหมือนกันค่ะ 2. ความคิดด้านลบ ความคิดด้านลบนี้ก็ไม่ต่างจากข้อเสียเลยค่ะ อันตรายพอ ๆ กัน เรามักจะมองข้อเสียของสิ่งต่าง ๆ มากกว่าข้อดี ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะจำข้อเสียของผู้อื่นมากกว่าข้อดี มันเป็นเรื่องปกติค่ะ บางทีหรือบ่อยครั้งเราก็ไม่สามารถกำจัดความคิดด้านลบของเราได้ แต่เราสามารถเลือกรับมือ จัดการหรือเปลี่ยนความคิดด้านลบของเราได้ มองหาโอกาสให้มากขึ้น แม้มันจะล้มเหลว แต่ความล้มเหลวเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จค่ะ 3. ความขี้เกียจ คนบางคนนั้นทำตัวยุ่งตลอดเวลา ซึ่งอาจจะต้องมองย้อนกลับมาว่าเรายุ่งอยู่กับอะไร ยุ่งอยู่กับการเลือกซื้อของ ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากความขี้เกียจเลยสักนิด และแม้บางครั้งสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นจะสวนทางกับคนรอบข้าง เส้นทางของความรวยอาจจะแตกต่างจากคนอื่น ๆ การที่เราไม่ทำอย่างนั้น แต่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าเราผิด เราชอบข้อความตอนหนึ่งของหนังสือที่ยกตัวอย่างของคำพูดของพ่อรวยที่ว่า “ความรู้สึกผิดเลวร้ายกว่าความต้องการ เพราะความรู้สึกผิดทำให้เราไร้จิตวิญญาณ” บ่อยครั้งที่เส้นทางความต้องการของเราจะไม่ได้เป็นไปตามที่คนอื่นคาดหวังไว้4. นิสัย ตรงนี้สั้น ๆ ได้ใจความคือพ่อรวยแนะนำให้มีนิสัยการจ่ายบิลต่าง ๆ หลังจากที่จ่ายให้ตัวเองก่อน เมื่อเราจ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอเราก็ยังมีสิ่งที่ติดตัวเรา หากเราจ่ายบิลหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก่อนเราก็จะแทบไม่เหลือเลย ส่วนการจ่ายบิลทีหลังนั้น แม้เงินที่เหลือจะไม่เพียงพอ แต่จะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เราได้หาเงินมาจ่ายบิลหรือเจ้าหนี้ให้ได้5. ความหยิ่งทะนงตัว การหยิ่งทะนงตัวนั้น เป็นสัญลักษณ์ของการปิดบังความโง่เขลาของเราไว้ คล้าย ๆ กับคนอีโก้สูง ๆ การทะนงตนและไม่เปิดโอกาสที่จะเรียนรู้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้คุณรวยขึ้นได้!! บทที่ 9 เริ่มต้นอย่างไรดี คุณนักเขียนหนังสือเล่มนี้ได้มีข้อบัญญัติ 10 ประการที่จะช่วยให้คุณมีพลัง ดังนี้1. พลังใจ: เพื่อเอาชนะความจริงที่ขวางหน้า2. เสรีภาพในการเลือก3. เลือกคบเพื่อนด้วยความระมัดระวัง4. สร้างสูตรและเรียนสูตรใหม่ ๆ5. ชำระหนี้ให้ตัวเองเป็นลำดับแรก6. เลี้ยงนายหน้าของคุณให้ดี7. จงเป็นผู้ให้8. ทรัพย์สินซื้อความฟุ่มเฟือย9. ความจำเป็นต้องมีพระเอกในดวงใจ10. สอนผู้อื่นแล้วคุณจะได้รับตอบแทน จากบัญญัติ 10 ประการนี้ทำให้เราได้เห็นว่าไม่มีอะไรยากเลยค่ะ แต่ต้องใช้ความพยายาม และความกล้ามาก ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลง บางอย่างเราอาจจะเคยได้ทำไปแล้ว ซึ่งนั่นก็ดีแล้วค่ะ และขอให้ทำต่อไป บางอย่างที่ยังไม่เคยทำ ก็ถือเป็นการลองทำอะไรใหม่ ๆ หนังสือแนะนำ : “คนรวยที่สุดในบาบิโลน” บทที่ 10 ข้อควรทำ จากข้อบัญญัติ 10 ประการข้างต้นจากบทที่ 9 นั้นก็ออกจะเป็นแนวปรัชญามากกว่าแนวทางปฏิบัติ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ได้สรุป “การลงมือทำ” สั้น ๆ ดังนี้หยุดทุกอย่างมองหาความคิดใหม่หาคนมีประสบการณ์หรือเคยลงทุนแบบที่คุณกำลังสนใจสมัครเข้าสัมมนาอบรมหรือเรียนพิเศษเสนอราคาเดิน วิ่งออกกำลัง หรือขับรถผ่านพื้นที่สักเดือนละครั้งเรื่องการเล่นหุ้นทำไมผู้บริโภคจึงไม่รวยหาให้ถูกที่มองหาคนต้องการซื้อก่อนเรียนจากประวัติศาสตร์ลงมือทำ แนวทางปฏิบัติข้างต้นนี้ หากคิดว่ายากมันก็ยาก ซึ่งสำหรับเราแล้วก็ยากพอสมควรทีเดียวค่ะ สำหรับผู้เริ่มต้นอย่างเรา แต่ถ้าเราไม่ลองปฏิบัติหรือลงมือทำสักที มันก็จะยากแบบนั้นอยู่เรื่อยไปนั่นแหละค่ะ ดังนั้นแล้วเราคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเริ่มลงมือทำค่ะ ถ้าหากคุณสามารถเริ่มลงมือทำได้ แค่นั้นก็เก่งมาก ๆ แล้วค่ะ บทสรุปจากใจถึงหนังสือพ่อรวยสอนลูก จากหนังสือพ่อรวยสอนลูกให้แง่คิดเรื่องการเงิน และหนทางสู่ความรวยต่าง ๆ รวมถึงแนวคิดที่ย้อนให้เราได้ฉุกคิดอยู่เสมอถึงตัวตนเรา ณ ตอนนี้ เราเป็นอย่างไร เราเลือกอย่างไหน สิ่งที่เลือกนั้นก็จะนำพาไปสู่อนาคตของเรา แม้แต่ตัวเราเองที่อ่านหนังสือเล่มนี้ บอกเลยว่ายังคงต้องเรียนรู้อีกมากเลยล่ะกว่าจะได้รวย 5555 แต่เมื่อเราได้ลองอ่านแล้ว หนังสือเล่มนี้ทำให้เปิดมุมมองทางความคิดของเรามากขึ้นค่ะ ทั้งในเรื่องของการทำงาน ทำเงิน โดยเฉพาะการให้เงินทำงานให้เรา ส่วนตัวเราชอบตรงที่หนังสือสอนให้เราได้เรียนรู้อย่างหลากหลายมากขึ้น อย่างเช่น ในหนังสือนี้ตัวผู้เขียนได้เล่าว่าไปทำงานมาหลากหลายรูปแบบเพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองในด้านนั้น ๆ ซึ่งตรงนี้ทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง และได้มุมมองใหม่ในการหางานด้วยค่ะ จากความคิดแรกเริ่มที่เราคิดว่าจะเลือกงานเพราะเงินเดือน แต่หากเราเลือกงานเพื่อที่จะเรียนรู้ ความรู้และสติปัญญาของเรานี่แหละค่ะจะเป็นตัวกำหนดเงินเดือนเราเอง เครดิตภาพประกอบโดย : ambulboy / Pixabay : ambulboy / Pixabay : mohamed_hassan / Pixabay : talhakhalil007 / Pixabayเครดิตภาพปกโดย Butter_Noey (เจ้าของบทความ)#หนังสือ #พ่อรวยสอนลูก #รีวิวหนังสือ #อ่าน #book #richdadpoordad 📚บทความอื่น ๆ ของ Butter_Noey คลิป : สร้าง QR Code ง่าย ๆ บนแอปคำสั่งลัดใน iOS3 Steps หาหอใหม่ยังไงให้ปัง! บวกสูตร(ไม่ลับ) ของกฎการตัดสินใจรีวิวบอร์ดเกม: หมากข้าม (หมากกระดาน)How to วิธีแก้ไขคลิปติดลิขสิทธิ์บน YouTube3 การทดลองวิทยาศาสตร์ง่าย สนุก ได้ความรู้ ทำได้ที่บ้าน มีคลิปให้ดู🗺 แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”