มาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านที่ฟรีวีซ่าคนไทย และไปได้แบบง่ายๆ ที่สำคัญค่าครองชีพค่าใช้จ่ายไม่ได้หวือหวาจนเอื้อมไม่ถึง จะมนุษย์เงินเดือนหรือคนฐานะดีก็ไปได้หมด ส่วนตัวเราเคยไปมาเลเซียมาแล้วโดยไปที่ปีนัง และอิโปห์ ครั้งนั้นมีเวลาจำกัดเลยไม่ได้เที่ยวชมกัวลาลัมเปอร์ ครั้งนี้เราเลยจะไปเที่ยวชิลๆ เน้นตะลุยกินที่เมืองกัวลาลัมเปอร์กัน และครั้งนี้เราเดินทางกับสายการบินมาเลเซียบอกเลยว่าประทับใจมากค่ะ Day 1 เริ่มการเดินทาง ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ สายการบินมาเลเซียนั้นก็จัดเป็นสายการบินประจำชาติมาเลเซีย และยังเป็นสายการบินประเภทฟลูเซอร์วิสด้วย ณ ตอนนี้เราสามารถเข้ามาเลเซียได้แบบไม่ต้องเตรียมเอกสาร หรือกรอกรายละเอียดแอปอะไรแล้ว ถือพาสปอร์ตไป ไปถึงเคาน์เตอร์เช็กอินก็ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ได้เลย สำหรับสายการบินมาเลเซียนั้นราคาค่าตั๋วจะรวมน้ำหนักกระเป๋าเช็คอินมาให้แล้ว โดยน้ำหนักจะขึ้นอยู่กับราคาตั๋วที่ซื้อ เริ่มตั้งแต่ 10 กิโล สูงสุด 35 กิโลสิ่งที่เราชอบนอกจากให้น้ำหนักสัมภาระโหลดมาเยอะแล้วนั้น ความสะดวกสบายบนเครื่องก็คือดีมาก เบาะกว้างนั่งสบาย สายเข็มขัดยาวจะคาดได้สบายๆ ทำเป็นเล่นไปบางสายการบินเข็มขัดสั้นคนตัวใหญ่คาดไม่ได้ก็มีนะ อันนี้เราหนักร่วมร้อยคาดได้แบบเหลือๆ เลย ความบันเทิงบนเครื่องบินมีทั้งจอสำหรับดูหนัง ฟังเพลง มีหูฟัง และบริการอาหารแบบเต็มอิ่ม โดยสายการบินจะมีให้เลือกระหว่างเมนูปลา และไก่ ขาไปเราเลือกไก่ ได้เป็นก๋วยเตี๋ยวผัด อร่อยใช้ได้เลยนอกจากเมนูคาวแล้วในเซตอาหารยังจะมีน้ำดื่ม ผลไม้ ขนมปังพร้อมเนย และถั่วอีกด้วย ไม่พอค่ะ แอร์ฯ ยังเดินเสิร์ฟน้ำเพิ่มอีก เราสามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้เพิ่มอีกไหม แต่ขาไปนี่ไม่ค่อยหิวเลยรับมาแค่อาหารหลักแค่นั้น แต่เที่ยวบินกลับบอกเลยว่ากินยับ ฮ่าๆ ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงกัวลาลัมเปอร์ และการเดินทางเข้าเมืองนั้นตอนแรกจะเลือกบัสนี่แหละ แนะนำเผื่อเวลาอย่างน้อย 30 นาที เพราะต้องเดินไปอีกที่ซึ่งแค่การฝ่าฝันผู้โดยสารทั้งที่เกตสนามบินไทย และตม. มาเลเซียก็ยืนจนขาแข็งแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนใจจากบัสเป็นรถไฟ KLIA express แทน สามารถดูวิธีโดยสารรถไฟเข้าเมืองต่อได้ที่ วิธีเดินทางเข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์ ด้วยรถไฟ KLIA expressจากนั้นเราก็เดินทางไปย่านไชน่าทาวน์ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง หลังจากเช็กอินที่พักและนอนพักขาสักพักก็ตั้งใจจะออกไปตระเวนเที่ยวแลนด์มาร์กและตะลุยกินเลยแต่ว่าฝนตกจ้า เลยไปไหนไม่ได้เดินลัดเลาะแถวๆ ไชน่าทาวน์เพื่อหาอะไรกินแต่ก็ไม่ค่อยมีร้านไหนเปิดอีกเช่นกัน สรุปแล้ววันแรกแทบไม่ได้ไปไหนเลยเพราะฝนเจ้ากรรมมันดันตก แต่จริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกนะคะ เพราะโดยปกติแล้วประเทศมาเลเซียนั้นจะมีแค่ 3 ฤดู หลักๆ คือร้อน ฝน และมรสุมนั่นเองDay 2 ตะลุยแลนด์มาร์กดังด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดงวันนี้เราออกสายเพราะที่นี่นอกจากร้านติ่มซำที่เปิดเร็ว ร้านอาหารแบบอื่นๆ จะเปิดสายหมดเลย เร็วสุดก็คือแปดโมงเช้า ซึ่งก็คือร้าน Ali, Muthu & Ah Hock และทางเราก็เช็กมาแล้วพบว่าร้านนี้เขามีนาสิเลอมัก เราก็เลยตัดสินใจไปร้านนี้เลือกมือเช้าเป็นนาสิไก่ บอกเลยว่าอร่อยมากค่ะ มามาเลเซียก็อยากแนะนำให้ลองกินนาสิกัน นาสิ ( nasi lemak ) หรือก็คือ ข้าวมันมลายู เป็นข้าวเจ้าหุงกับกะทิ โดยทั่วไปมักจะรับประทานคู่กับปลาทอดหรือไก่ทอด, โอตาห์ หรือก็คือน้ำพริกปลาย่าง, ปลาตากแห้งทอด, ถั่วทอด ไข่ต้ม แตงกวา และ “ซัมบัล” ซึ่งก็คือน้ำพริกรสเผ็ด แต่สำหรับเรามันไม่ได้เผ็ดขนาดนั้น มันคล้ายน้ำจิ้มไก่สะเตะแต่รสจัดกว่า รวมๆ คืออร่อยฟินมากเมื่อท้องอิ่มแล้วลำดับถัดไปก็ไปเก็บภาพสตรีทอาร์ตที่ Lorong Petaling 2 - Old Kuala Lumpur Street Artและไปต่อที่ Culture Street Arts & Gallery เป็นสถานที่ที่มีสตรีทอาร์ตและจัดโชว์งานศิลปะในย่านไชน่าทาวน์ รอบที่เราไปงานศิลปะที่โชว์นับว่าเก๋มาก โดยสร้างสรรค์จากจานพลาสติก นำมาเรียงกันเป็นรูปลักษณ์สิ่งของต่างๆ มีความอาร์ตมาก ใครที่ชอบงานศิลป์ มากัวลาลัมเปอร์แล้วอย่าลืมแวะไปไชน่าทาวน์เพื่อไปดูงานศิลปะในแบบต่างๆ จากนั้นไปต่อที่ Chan She Shu Yuen Clan Ancestral Hall ที่นี่คือเป็นศาลเจ้าสไตล์จีนที่ดูวิจิตรมากๆ แต่ตอนที่ไปเหมือนมีการก่อสร้างหรือซ่อมบำรุงก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเลย จึงไม่แน่ใจว่าเข้าไปถ่ายรูปได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราเลยเปลี่ยนไปที่ เมอร์เดก้า สแควร์ หรือ Dataran Merdeka เลยแทนไปถึงยังไม่ทันถ่ายรูปให้หนำใจฝนก็เทลงมา จริงๆ ฝนมันตกปอยๆ มาตั้งแต่ช่วงเที่ยงแล้วแต่มันไม่หนักมาก คิดว่าเดี๋ยวมันคงหยุดแต่ไม่มีวี่แววจะหยุดและก่อนหน้านั้นก็ไม่มีวี่แววจะหนักเราก็เลยไม่เปลี่ยนแผนและไปต่อ แต่พอมาถึงจตุรัสเมอร์เดก้ามันก็ตกหนักทันที ด้วยความห่วงกล้องก็ต้องไปหลบฝนที่ป้ายรถเมล์ก่อน รออยู่เป็นชั่วโมงๆ เลยกว่าฝนจะเบาลงจนพอเดินออกมาได้จตุรัสเมอร์เดก้า ถือเป็นอนุสรณ์สถานแห่งอิสรภาพของมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า อาคารสุลต่านอับ ดุลซาหมัด เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กดังที่ใครๆ ก็มากัน จากนั้นเราก็ไปต่อที่ตึกแฝดเปโตรนาสทาวเวอร์ จริงๆ เราอยากได้ภาพตึกแฝดในช่วงยามกลางคืนที่เปิดไฟมากกว่านะ แต่ตอนที่ไปมันเพิ่งจะหกโมงเย็น มันยังไม่มืดและไฟก็ยังไม่เปิด ใดๆ คือคนเยอะมากและไม่มีที่นั่งรอ เพราะฝนที่ตกไปก่อนหน้านั้นทำให้ที่นั่งทุกแห่งมีแต่น้ำ อยากจะรอนะแต่ไม่รู้จะไปนั่งรอตรงไหนดี เลยตัดสินใจถ่ายในช่วงเวลาปกติแบบที่ยังไม่เปิดไฟแทน จริงๆ วันนี้จะต้องไปถ้ำบาตู ( Batu Caves ) ด้วย แต่เพราะมัวไปติดฝนอยู่ก็เลยเหลือเวลาไม่มาก หลังจากได้ภาพตึกแฝดเปโตรนาสแล้ว เราก็ตัดสินใจกลับที่พักก่อนเพราะเหมือนฝนทำท่าจะมาอีกระลอกDay 3 ตระเวนกินทั่วไชน่าทาวน์เราปลี่ยนแผนจากการไปชมมัสยิดสีชมพูที่เมืองปุตราจายาเป็นตระเวนกินที่ย่านไชน่าทาวน์แทน เพราะรู้สึกเอนจอยกับอาหารที่นี่จริงๆ โดยร้านแรกเรากลับไปที่ร้าน Ali, Muthu & Ah Hock เพื่อกินนาสิไก่ ราคา 15 ริงกิต ( 105 บาท ) ก่อน กินคาวแล้วก็ต้องหาของหวานกินต่อ ซึ่งก็เจอคาเฟ่น่านั่งร้าน Bubble Bee Cafe สั่งเป็นวนิลาอเมริกาโน่เย็น 15 ริงกิต เป็นไอศกรีมที่มาพร้อมกาแฟอเมริกาโน่ แล้วความเข้มของกาแฟก็ดันเข้ากับความหวานของไอศกรีมซะด้วย ทานคู่กับดาร์กช็อกโกแลตเค้ก ราคา 13 ริงกิต ( 91 บาท ) ทั้งสองอย่างอร่อยเข้ากันแบบสุดๆ จากนั้นไปเดินดูอาหารแนวสตรีทฟู๊ดต่อที่ Jalan Petaling Street ถึงจะบอกว่าเป็นแหล่งรวมอาหารสตรีทแต่ภายในซอยก็จะมีของขายเยอะทั้งของกินและแฟชั่นอื่นๆ ช่วงที่เราไปนะฝนตกทุกวันเลยร้านมันเลยน้อย ( คนในเกสเฮาส์บอกมาแบบนี้ ) ซึ่งในซอยนี้ก็จะมีเซเว่นนะ ที่นี่จะใช้คำว่า KK จะไม่ใช่สัญลักษณ์ 7-11 แบบบ้านเรา ถ้าเห็น KK ก็คึอร้านค้าประเภทเซเว่นเลย พอเดินเยอะก็เริ่มหิวอีกรอบ และมองในกูเกิ้ลแมพเห็นร้านอาหารเป็นร้านสไตล์อาหารนานาชาติ แต่จะโดดเด่นเรื่องเครื่องดื่ม ใครอยากดื่มก็แวะไปที่ร้าน DayOne DayOne Concep ร้านนี้จะมีทั้งอาหารญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และอาหารไร้เนื้อสัตว์ ทางเราสั่งเป็น ไก่เทอริยากินและก๋วยเตี๋ยว Teriyaki Chicken & Chew-chew Noodle ราคาทั้งเซตอยู่ที่ 25 ริงกิต หรือก็คือ 175 บาท สำหรับสายดื่มอยากดื่มก็มาร้านนี้ได้เลย แต่ถ้าไม่ดื่มเขาก็จะมีเครื่องดื่มประเภทน้ำมะนาว มะนาวโซดา มะนาวมิ้นต์เป็นต้น และบรรยากาศร้านดีมากด้วยค่ะ Day 4 เดินทางกลับไทย วันนี้ก็เป็นวันเดินทางกลับไทยและขากลับก็เดินทางด้วยสายการบินมาเลเซียเช่นเดิม จากตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์มาสนามบินก็ใช้วิธีเช่นเดิมคือนั่งรถไฟ ถ้าใครจะขึ้นรถไฟ KLIA express ไปสนามบินแบบเรานั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนของกัวลาลัมเปอร์ ก็ให้มาที่ KL Sentral จากนั้นทางเดินไปยังจุดจำหน่ายบัตรโดยสาร มันจะมีสัญลักษณ์รถไฟสีชมพู ก็ให้เดินตามป้ายไป และขากลับนี่เราซื้อบัตรโดยสารโดยจ่ายผ่านบัตรกรุงไทยทราเวล จริงๆ ทั่วมาเลเซียสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรทราเวลได้หมดเลย ใช้ได้ทั้งแตะจ่ายและกดเงิน สำหรับการกดเงินให้มองหาตู้กดเงินที่มีสัญลักษณ Visa นะคะ พอซื้อบัตรโดยสารได้แล้วเราก็จะนั่งรถไฟไปสนามบินกันเลย ท่าอากาศยานของกัวลาลัมเปอร์นั้นจะแบ่งเป็น KLIA และ KLIA2 ความต่างของมันคือ KLIA จะเป็นสนามบินหลักเพื่อรองรับสายการบินหลัก เช่น สายการบินมาเลเซีย การบินไทย เป็นต้น ตัวเราก็จะลงที่ KLIA หากใครจะแวะไปหาของกินก่อนก็ให้ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 จะมีร้านอาหารอยู่มากมาย ใครจะไปเช็กอินเลยก็กดลิฟต์ไปชั้น 5 ได้เลย ขั้นตอนการเช็กอินก็ทำเหมือนไทย ใช้แค่พาสปอร์ตเล่มเดียว ใครไม่มีกระเป๋าสัมภาระเช็กอินสามารถเช็กอินออนไลน์มาได้เลยก็จะสะดวกยิ่งขึ้น จากนั้นก็ไปยังเกทของตัวเองเพื่อรอขึ้นเครื่องขากลับที่นั่งก็ยังสบายเหมือนขามา แต่ขากลับของเราที่นั่งจะไม่มีจอสำหรับดูหนัง แต่ไม่เป็นไรเพราะปกติเราจะติดหูฟังของเราเองมากกว่า นอกจากนี้ยังมีที่ชาร์จแบตให้ด้วย ( มีทั้งเที่ยวบินไปและกลับ )เซอร์วิสทางด้านอาหารก็ยังจัดเต็มเหมือนเดิม ครั้งนี้จะเป็นไก่ในซอสเผ็ด อร่อยมาก เมนูขากลับนี้เราชอบมากเลย มีของว่าง ของหวาน ผลไม้เหมือนเที่ยวขามาเลย และสามารถขอเครื่องดื่มเพิ่มได้ รอบนี้เราขอเพิ่มเป็นโค้กใส่น้ำแข็ง และตบท้ายด้วยกาแฟร้อนๆ จัดว่าดีมากเลยค่ะ แต่ถ้าหากเพื่อน ๆ บินช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไปจะปรับเป็นเมนูอื่นนะคะ รอติดตามกันดีกว่าค่ะว่าเป็นเมนูอะไรน้าามาเลเซียนั้นจัดเป็นประเทศที่เที่ยวง่ายมากๆ จะสายเที่ยวมือโปร หรือมือใหม่เพิ่งไปครั้งแรกก็สามารถเที่ยวประเทศนี้ได้แบบง่ายๆ เลย นอกจากประเทศของเขาจะสวย เที่ยวง่าย อาหารอร่อยแล้วอีกหนึ่งสิ่งที่เราประทับใจมากๆ ก็คือ สายการบินมาเลเซียนี่แหละค่ะ เป็นอีกหนึ่งสายการบินที่ชอบมากจนเซฟเข้าสายการบินโปรดในใจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ใครจะไปมาเลเซียแนะนำบินกับสายการบินมาเลเซียไม่มีผิดหวังแน่นอน อย่างไรก็ตามหากใครรู้สึกชอบบทความนี้ก็สามารถแชร์ออกไปได้เลยค่ะ หรือติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราได้ที่ twitter ที่ Artinime หรือ IG เพจ i_am_solo_traveler_ ได้เลยค่ะhttps://www.instagram.com/reel/CwscSYSv-35/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==เรียบเรียงและภ่ายภาพโดย : หญิงเถื่อน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !