มาเที่ยวอินเดียอีกแล้วจ้า บอกตรงๆ ว่าคงยังเห็นเราตะลุยอินเดียอยู่อีกนานแหละจนกว่าจะครบทั้งประเทศ ซึ่งรอบนี้ก็อยู่ตั้งแต่ 9 ตุลาคม ถึง 9 ธันวาคมเลย แต่จะมาทยอยรีวิวเมื่อมีช่วงเวลาว่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่มาอยู่เดลีสองอาทิตย์เนื่องจากมีผู้ชายอยู่ที่นี่ซึ่งเที่ยวเดลีบ่อยแล้วคงไม่พาไปไหนเลยมีเวลาเรียบเรียงงานในตอนที่ผู้ชายออกไปทำงาน ใครเขาถามเรื่องผู้ชายกันล่ะเนี่ยยยย อะพอแล้วแล้วกันไปเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่าจากไทยมานิวเดลีรอบนี้เรามากับวิสทาราแอร์ไลน์ โอ้โห้บอกเลยว่าเป็นสายการบินที่ดีมาก แอร์เย็นฉ่ำ และบนเครื่องก็มีหมอนและผ้าห่มให้ด้วย มีอาหารของว่าง เครื่องดื่มเสิร์ฟ ออกจากไทยไม่ดีเลย์นะ แต่ตอนไปถึงอินเดียเหมือนเขาไม่สามารถเอาเครื่องลงได้ทันที ไม่แน่ใจเพราะสภาพอากาศหรือเพราะอะไรกันแน่ทำให้ดีเลย์ไปนิดหน่อย ซึ่งเรารับได้นะ พอถึงเดลีเราพักที่เดลีก่อนนะ แล้วนั่งรถไฟไปอัคราในวันที่ 12 ตุลาคม ซึ่งการจองรถไฟสามารถจองได้ตัวเองกันได้เลยนะ จองผ่าน IRCTC หรืดูวิธีจองแบบละเอียด ที่ วิธีจองรถไฟอินเดีย ผ่านเว็บ IRCTC ง่ายๆ ทำด้วยตัวเองได้เลยโดยรถไฟที่เราจองนั้นจะเป็น Vande Bharat express เป็นรถไฟประเภทดีเลยนะ ต้องว่ารถไฟอินเดียไม่ได้ต่างกันแค่ระดับชั้นเท่านั้น แต่ชื่อรถไฟก็ยังบ่งบอกความใหม่เก่าหรือหรูหรา ข้อดีของรถไฟอินเดียที่เราชอบมากๆ คือมันมีแอปเช็คสถานะรถไฟค่ะ รถไฟอยู่ไหน จะถึงกี่โมง ดีเลย์หรือไม่ อีกกี่นาทีถึงเราจะรู้หมดเลยค่ะ แอปนี้ชื่อแอปว่า RailYatri สามารถค้นหาและติดตั้งได้ทั้งระบบไอโอเอสและเอนดรอยเลย Day 1 In Agraโดยวันแรกของการเที่ยวอัคราก็คือการนั้งรถไฟ ซึ่งรถไฟของเราจะรอบบ่ายไปถึงอัคราประมาณสี่โมงเย็น เราจะเน้นนอนโฮสเทลนะคะ เพราะสำหรับเราห้องที่นอนคนเดียวมันก็มีเอาไว้อาบน้ำนอนแค่นั้น โดยเราพักที่ Bedweiser Backpackers Hostel Agra ซึ่งจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทัชมาฮาล จากที่พักสามารถเดินไปทัชมาฮาลได้เลย ด้วยความที่ว่ามาถึงมันก็จะห้าโมงเย็นแล้ว วันนี้ก็เลยยังไม่ไปไหน เน้นหาอะไรกินและนอนพักร่างไปก่อนDay 2 In Agra Go to Agra Fortวันที่สอง วันนี้เราก็ตื่นสายๆ เพราะเราค่อนข้างมีเวลาเที่ยวและไม่ชอบเที่ยวแบบรีบๆ ร้อนๆ และยังเน้นภาพถ่ายพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า เลยเริ่มออกเที่ยวในช่วงบ่ายสามโมงโดยมองหาตุ๊กๆ ไปป้อมอัครา อ่อ ลืมบอกวันที่สองของทริปนี่คือวันศุกร์นะคะ ซึ่งทัชมาฮาลจะปิดทุกวันศุกร์ เพราะวันศุกร์เป็นวันละหมาดของมุสลิม จริงๆ การมาอัครารอบนี้เป็นรอบที่สองแล้วเลยโฟกัสแค่ทัชมาฮาลและอัคราฟอร์ท แต่บางครั้งเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของไดร์เวอร์ตุ๊กๆ ค่ะ ตอนตกลงเราตกลงไปแค่อัคราฟอร์ม แต่เขาบอกจะพาไปเบบี้ทัช เขาเซ้าซี้จนน่ารำคาญเราเลยตัดความรำคาญด้วยการไปก็ไปเพราะอย่างน้อยเบบี้ทัชก็ค่าเข้าไม่แพง และมีอะไรให้ถ่ายรูป (ครั้งแรกที่มายังถ่ายรูปไม่เก่ง) แต่สุดท้างนางพาฉันไป ทัช วิว พอทย์ ก็คือข้างหลังทัชมาฮาล ที่นี่ค่าเข้าอยู่ที่ 300 รูปีไม่มีอะไรนอกจากข้างหลังของทัชมาฮาล แอบเซ็งนะ อย่างที่บอกไปว่ามันเป็นการมาครั้งที่สองไง มันไม่ต้องไปทุกทีก็ได้ แต่มันมาแล้วอะสุดท้ายก็เข้าไป ที่นี่ห้ามโดรน ขาตั้งกล้อง รวมถึงแลปท็อปและไอแพด ก็เลยต้องฝากกระเป๋าไว้กับรปภ ด้านหน้า ไม่มีล็อกเกอร์อะไรนะ ไว้ในห้องเก็บของนั่นแหละ แต่มีรปภ เฝ้าให้แบบนี้ ตอนมารับกระเป๋าเขาก็ขอทิปนะ แบบฉันตั้งใจดูแลให้ไม่มีทิปหน่อยหรอ ก็เลยให้ไป 20 Rsหลังจากนั้นเราก็ไปที่ ป้อมอัครา Agra Fort ที่นี่ก็ห้ามแล็ปท็อป ไอแพด ขาตั้งกล้อง โดรน ขนมต่างๆ เอาเข้าไปได้แค่น้ำ ดังนั้นเราก็เลยต้องฝากกระเป๋าอีกแล้ว แต่ที่นี่จะดีหน่อยตรงที่มีห้องฝากกระเป๋ามีล็อกเกอร์ล็อกเป็นเรื่องเป็นราว ค่าเข้าของที่นี่จะอยู่ที่ 600 รูปี แนะนำให้ไปช่วงพระอาทิตย์ตกดินป้อมจะสวยมากแต่ก็ยังคงร้อนอยู่นะไม่อยากคิดว่าถ้ามาตอนเที่ยงจะร้อนขนาดไหน และอยากให้ทุกคนให้เวลาหน่อยนะ เพราะเป็นป้อมปราการที่ใหญ่เอาเรื่องอยู่ และนั่นหมายความว่ามีพื้นที่มีมุมให้ถ่ายรูปค่อนข้างเยอะมาก Day 3 and 4 In Agra ในวันเสาร์เราไม่ได้ไปไหนนะ ไปทัชมาฮาลวันอาทิตย์ตอนเย็นเหมือนเดิมด้วยความรู้สึกว่าคนน่าจะน้อยเพราะวันจันทร์คนทำงานคงรีบกลับเมืองตัวเองกัน แต่ไม่เลยคนเยอะมาก สรุปคือทัชมาฮาลไปช่วงไหนคนก็เยอะอยู่ดี อัปเดตค่าเข้าทัชมาฮาลอยู่ที่ 740 รูปี ราคานี้ต้องโชว์พาสปอร์ตไทยนะ ถ้าไม่โชว์คือพันกว่ารูปีเลย เราไม่ได้อินเรื่องของความรักหรือรักแท้อะไรของที่นี่มากนะ ถ้ามองว่าชายคนหนึ่งรักผู้หญิงคนหนึ่งมากมันก็ซึ้งอยู่แหละ แต่ถ้าศึกษาประวัติศาตร์แบบลงลึกก็อาจจะไม่อินแบบเราได้ ก็อย่างที่ทุกท่านทราบว่า วัตถุประสงค์ของการสร้างทัชมาฮาลคือการอาลัยอาวรณ์ให้กับหญิงผู้เป็นที่รักอย่างพระนางมุนตัช มาฮาล หลังการสูญเสียพระนางไปพระเจ้าชาร์จาฮันก็เสียใจหนักมากและทุ่มเทร่างสเกลเขียนแบบสร้างทัชมาฮาลเพื่อพระนาง เพื่อให้เป็นที่เก็บร่างของนางผู้เป็นที่รัก และพระเจ้าชาร์จาฮันเนี่ยก็เสียใจหนักมากแบบไม่เป็นอันทำไรเลย เอาแต่นั่งมองทัชมาฮาล แม้กระทั้งวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังคงมองทัชมาฮาลอยู่ เป็นที่มาของรักแท้ที่ชายคนหนึ่งมีให้ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งแต่แรกพบจนลมหายใจสุดท้าย แล้วอะไรที่ทำให้คนศึกษาประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมไม่อินกับเรื่องราวนี้? ในส่วนของคนอื่นเราไม่อาจตอบแทนได้ แต่ในส่วนของเราคือ "ช่างเป็นรักแท้ที่อันตรายจริงๆ" เพราะในการก่อสร้างนี้มีคนงานล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อก่อนมันไม่มีเครื่องจักรอะนะดังนั้นการขนอิฐแต่ละก้อน การสร้างนั่งร้านขึ้นไป การก่อสร้างต่างๆ มันเป็นแรงงานคนหมดเลยค่ะ "สังเวยไปกี่ชีวิตกับรักแท้ของคนๆ หนึ่ง" ตอนสร้างเสร็จคนงานเอย ขุนนางเอยโอดครวญอยากพัก พระเจ้าชาร์จาฮันก็ไม่ได้ให้พักนะ สั่งรื้อนั่งร้านลงทันที แต่ยังดีนะที่พระองค์ใช้การกระตุ้นด้วยการบอกว่าใครรื้อนั่งร้านลงมาก็สามารถหยิบเอาอิฐแดงกลับไปได้ สมัยนั้นอิฐแดงราคาแพง บางคนก็เลยฮึดลุกขึ้นมารื้อต่อไหว นี่ยังไม่นับเรื่องการนำเงินในท้องพระคลังมาใช้สร้างทัชมาฮาลจนหมดเกลี้ยง และใช้หมดแล้วไม่หาเพิ่มด้วยนะ เพราะเสียใจมากจนไม่เป็นอันบริหารบ้านเมืองเลย เงินหมดคลัง ประชาชนอยู่ลำบาก เจ็บป่วยล้มตายเพราะอดอยาก จนลูกชายทนไม่ได้จึงต้องลุกมาพาพ่อลงจากบัลลังก์แล้วบริหารบ้านเมืองต่อ สำหรับเราเราว่ามันเป็นรักแท้ที่ดูทำร้ายคนอื่นอะ ขนาดลูกชายเขายังไม่ได้รู้สึกเห็นด้วยทั้งหมดกับสิ่งที่พ่อเขาทำลงไปเลย ตัวเราเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันคือสัญลักษณ์ของรักแท้ที่ถ้ามีแฟนต้องพาแฟนไป ถ้าแฟนพาไปนี่คือรักแท้ หรือถ้าไปแล้วเลิกกันก็เพราะมันคือสุสาน ทุกท่านค่ะมันมีคนคิดแบบนี้จริงๆ ค่ะ ตอนเราได้ยินคืออึ้งมากเพราะการมาที่นี่กับคนรักในช่วงหนึ่งของความสัมพันธ์อาจจะใช่ว่ามันเป็นความโรแมนติกอย่างหนึ่งที่ทำร่วมกันในขณะนั้นแต่มันไม่ได้การันตีว่ามันคือรักแท้หรือรักเทียมอะไรเลย ที่นี่มันคือ "สถาปัตยกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและสร้างมาด้วยความลำบาก" ดังนั้นความยากลำบากในการสร้างนี้เลยทำให้ที่นี่สมควรเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่น่าจะสร้างได้ในสมัยนั้นแต่ก็ทำได้และออกมาสวยจนต้องตะลึง มันแค่นั้นเลย ตอนไปครั้งแรกยังโสด ปัจจุบันมีแฟนอินเดียก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปนะ แฟนก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แฟนว่าไปรูททางเหนือดีกว่ามันสวยโรแมนติกกว่า แต่ใครจะอินนี่ก็ไม่ได้ไปติดขัดอะไรด้วยนะ เอาตามสะดวกได้เลย ไปแล้วรักกันตลอดรอดฝั่งก็อวยยศทัชมาฮาล ไปแล้วเลิกกันก็กร่นด่าว่าเป็นคำสาปของสุสานทัชมาฮาลก็มี แต่ทั้งหมดนี้....มันแค่สถาปัตยกรรมจ้าาจบวันไปกับแสงพระอาทิตย์ตกดินกับทัชมาฮาลที่สวยสุดยอด สำหรับวันถัดไปก็จะเป็นการเดินทางไปอัมริตสาร์ ซึ่งจริงๆ วันมีรถไฟเส้นอัคราไปอัมริตสาร์นะ แต่เราตัดสินใจช้ามันเต็มแล้วเลยต้องนั่งรถไฟมานิวเดลีก่อน ด้วยรถไฟประเภทนั่งชั้น AC CC แล้วรอรถไฟจากนิวเดลีไปอัมริตสาร์Day 1 go to Amritsar วันแรกของอัมริตสาร์ก็คือการเดินทางไป เดินทางทั้งวันเลย โดยเราอยากลองรถไฟท้องถิ่นค่ะ จริงๆ ก็เคยนั่งแล้วแหละแต่เป็นเส้นทางสั้นๆ และตอนนั้นไม่ได้ถ่ายรูปไว้ รอบนี้เลยไปจัดเพื่อถ่ายรูปมาให้ทุกคนดู บอกเลยว่าบังเทิงมาก มีครบทุกความรู้สึก แต่จบลงที่บอกกับผู้ชายว่าระยะสั้นก็สู้ไหวนะ แต่ระยะทางยาวๆ นี่ไม่ไหวจริงๆ ฮ่าๆ คนเราจะแนะนำคนอื่นได้มันก็ต้องไปลองให้รู้ไง แต่รถไฟดีเลย์ไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง จากที่จะต้องถึงสี่ทุ่มก็ถึงห้าทุ่มกว่าๆ บวกกับความปวดท้องจากการอั้นปัสสาวะ เพราะห้องน้ำชั้นนี้มันเข้าไม่ไหวจริงๆ บอกตรงว่าๆ แย่กว่าชั้น SL มากๆ เลย เพราะฉะนั้นใครไม่มีความจำเป็นก็เลี่ยงชั้นนี้ไปเนอะ Day 2 In Amritsar เริ่มเที่ยวในวันที่ 2 ของอัมริตสาร์ ซึ่งกว่าจะออกก็บ่ายเลย ก็นั่งรถไฟมา 8 ชั่วโมงแถมอั้นปัสสาวะมาอีก เลยขอพักหลังพักท้องที่ปวดหน่วงๆ ไปครึ่งวันเลย และที่แรกที่ไปก็คือ "วิหารทองคำ" หัวใจแห่งศาสนาของชาวซิกข์ เราว่าเรากะเวลาออกจากที่พักให้มาถึงเย็นแล้วนะ แต่รู้สึกว่าที่นี่พระอาทิตย์ตกช้าจัง หรืออาจเพราะเราหิวเลยรีบร้อน รอแล้วรออีกพระอาทิตย์ก็ไม่ตกซะที บวกความหิวมากเลยเอาภาพวิหารทองคำกับฟ้าสีฟ้าไปกันก่อนนะ เดี๋ยวมาในวันถัดไป จากนั้นก็ไปหาอะไรกินที่มิวเซียม ตรงมิวเซียมมันจะเป็นสแคว์นะคะ ที่มีร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ และอร่อยด้วย นั่งรอจนมิวเซียมเปิดไฟพอได้รูปก็กลับที่พักก่อน Day 3 In Amritsar วันนี้เรี่ยวแรงกลับมาแล้ว การปัสสาวะก็กลับมาเป็นปกติ ก็เลยออกไปที่ จาริยาน วราบาค ( Jallianwala Bagh ) ซึ่งที่ตรงนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่มีสตอรี่ที่ค่อนข้างดาร์กนะ คือเป็นที่ที่เกิดเหตุการสังหารหมู่ ที่ค่อนข้างหดหู่ตรงที่ มันเป็นสถานที่ที่มีทางเข้าออกทางเดียว ตอนนั้นกลุ่มคนที่มานั่งชุมนุมประท้วงแบบสันติ นักเคลื่อนไหวเสรีต่างๆ ก็มานั่งกันแบบปกติไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไร แล้วทหารก็มาล้อมแล้วกราดยิงเลย ด้วยความที่มีทางเข้าออกทางเดียว และทหารก็ปิดทางไว้ พวกเขาเลยไม่มีที่หนีหรือหลบได้ ก็เป็นสถานที่สำคัญอีกหนึ่งที่เพียงแต่เรื่องราวมันจะโหดและชวนหดหู่ใจจากนั้นก็ไปหาปานิปูรีกิน เพื่อรอเวลาเย็น ซึ่งเราจัดปานิปูรีไปสองเซตเลย คนอื่นเขาสั่งเซตเดียว 5-6 ลูก นี่ล่อ 12 ลูก ชอบจริงชอบจัง กินจริงจังกินเหมือนจะกลับไทยพรุ่งนี้ แล้วต่อด้วยช็อกโกแลตมิลล์เช็ก แต่ทำไมมันกลายเป็นโอริโอปั่น ไม่รู้ผิดพลาดตรงไหนแต่ก็กินได้เลยไม่ได้คอมเพลนอะไรแล้วก็นั่งรอจนพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นก็เดินไปวิหารทองคำอีกรอบ และวันนี้มิสชั่นก็คอมพลีชแล้ว ไปดูรูปเลยดีกว่าวันถัดมาเราก็นั่งรถไฟกลับมาที่นิวเดลี แต่รอบนี้เลือกชั้นแบบปกตินะคะ มาถึงช่วงเที่ยงๆ เป็นอันจบทริปอัครา อัมริตสาร์ ขอบอกว่าเรานั้นจะอยู่เที่ยวอินเดียยันธันวาเลย 60 กว่าวันเต็มๆ ก็แวะมาตามกันก่อนได้นะ บทความหน้าจะพาไปไหนมารอกันได้เลย หรือแวะหรือติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราได้ที่ twitter ที่ Artinime หรือ Facebook เพจ แบกกล้องชิวเที่ยวไปเรื่อย ได้เลยค่ะhttps://www.facebook.com/100063609072087/posts/pfbid07Ex1ipwXFC84BtngY7CfiZJWEULqnZkTTgPSaVpzQxqNMCxCUpt78HiHrrTn1ooyl/ถ่ายภาพและเรียบเรียงโดยหญิงเถื่อน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !