เล่าย้อนกลับไปเมื่อปี 1984 กลับสองนักวาดนักเขียนคอมมิค อย่าง Peter Laird กับ Kevin Eastman ผู้สร้างสรรค์ตัวละครสุดแจ่ม เมื่อเล่มวาดจากความรักแต่ผลตอบรับมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าการเป็นคอมมิคนอกกระแส แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็น ป็อปคัลเจอร์เหนือกาลเวลาอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความโด่งดังนี้ทำให้เรื่องราวของ เต่านินจากลายเป็นเรื่องราวที่โลดแล่นไปในหลายๆแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น แอนิเมชันซีรีส์ที่มีไปมากกว่า 5 เวอร์ชั่น แต่หากจะผู้กันตรงๆบ้านเรารู้จักเต่านินจาในเวอร์ชั่นฉบับคนแสดง ที่ครองตลาดภาพยนตร์ยุค 90’s กันเลยก็ว่าได้ หลากหลายเวอร์ชั่นจน Michael Bay ยังหยิบยกมาสร้างกันแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถึงจะมีให้ชมกันมากมายหลากหลายเวอร์ชั่น แต่ที่แน่ๆผู้เขียนเองก็ยังไม่เคยได้ชมเรื่องราวของแก๊งเต่าตอนเป็นวัยรุ่นเลยแม้แต่ตอนเดียว จนทำให้เรื่องราวนี้ไปเข้าตาต้องใจนักสร้างภาพยนตร์อย่าง Seth Rogen เมื่อนั้นนักสร้างสายปั่นการันตีด้วยผลงานอย่าง Good Boys (2019), Sausage Party (2016), The Green Hornet (2011), Pineapple Express (2008), Superbad (2007) ที่มีชื่อว่า Evan Goldberg จับมือกันกับผู้กำกับสายฮาที่มีรางวัลออสการ์การันตีอย่าง The Mitchells vs. The Machines (2021) นามว่า Jeff Rowe รับตำแหน่งผู้กำกับดึงความวายป่วงของชีวิตวัยรุ่นมายำ ภายใต้ชื่อ TEENAGE MUTANT NINJA TURTLES เต่านินจา: โกลาหลกลายพันธุ์ ลบภาพจำนำมาสู่ตำนานการพจรภัยบทใหม่ของเต่านินจา นำเสนอวิชวลเอฟเฟคที่แปลกตาและไม่เหมือนใคร สาดเส้นสายลอยขีดเขียนกันอย่างมันส์มือ และสีสันที่สัดกันอย่างสนั่นจอ หากจะเปรียบเทียบ Spider-Man: Across the Spider-Verse เป็นผลงานของเด็กหน้าห้องในชั้นเรียน Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem ก็คงจะเป็นงานของเด็กน้อยหลังห้องตัวแสบมือดีและแสนซนเลยก็ว่าได้ กลับภารกิจแรกของสี่นินจาเต่ากลายพันธุ์ ที่เบื่อเต็มทีกับการใช้ชีวิตอยู่ในท่อระบายน้ำ ของใช่สกิลที่สะสมมานานออกพิทักษ์เมืองที่แสนรักจากเนื้อมือภัยร้ายของเหล่าสหายกลายพันธุ์เล่าย่อๆเรื่องราวเกิดขึ้นใจกลางมหานครนิวยอร์กเมื่อนักวิทยาศาสตร์นามว่า ดร.แบ็กซ์เตอร์ สต็อกแมน หัวหน้านักพันธุศาสตร์ของ ทีซีอาร์ไอ ได้ขโมยงานวิจัยมูลค่านับล้านและเขายังได้สร้างสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ขึ้นมา เมื่อทีมเจ้าหน้าที่ได้บุกไปที่ห้องแล็บ ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง แต่เมื่อนั้นสารกลายพันธุ์ก็เสร็จสมบูรณ์ทันใดนั้นทีมล่า ดร.แบ็กซ์เตอร์ สต็อกแมน ก็ได้บุกเข้าไปจับตัวเขา และแล้วสิ่งที่เป็นตรงหน้าทุกสายตาที่จับจ้องไปยังสิ่งมีชีวิตทดลอง และการต่อสู่ก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตทดลองตัวหนึ่งได้บุกโจมตีที่ล่า ดร.แบ็กซ์เตอร์ สต็อกแมน ทำให้สารกลายพันธุ์ที่เสร็จสมบูรณ์ ได้หล่นลงไปในท่อระบายน้ำ เมื่อนั้นเรื่องราววายป่วงก็เกิดขึ้น และจะเป็นอย่างไรต้องติดตาม“ร่วมถอดสัญญะ วิเคราะห์ ไปด้วยกัน กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 1 คัท 1 เทค 1…แอ็กชัน” 1 ซีน (Scene) คือ “ฉาก” ว่าด้วยเรื่องของฉาก / หากจะเปรียบเทียบ Spider-Man: Across the Spider-Verse เป็นผลงานของเด็กหน้าห้องในชั้นเรียน Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem ก็คงจะเป็นงานของเด็กน้อยหลังห้องตัวแสบมือดีและแสนซนเลยก็ว่าได้ นำเสนอวิชวลเอฟเฟคที่แปลกตาและไม่เหมือนใคร สาดเส้นสายลอยขีดเขียนกันอย่างมันส์มือ และสีสันที่สัดกันอย่างสนั่นจอ หากจะเล่าถึงสไตล์ของงานวิชวลแบบคอมิกกับสไตล์การแอนิเมทสมัยใหม่ที่ต้องขอกว่าไม่เน้นความเนี๊ยบ แต่เน้นความหลากหลายมาใช้ได้อย่างลงตัว เรามักจะเห็นงานฉากแบบนี้กันมากในยุคนี้แต่ก็จะว่าไปมันไม่ใช้งานที่เป็นงานก๊อปปี้ แต่จะเป็นงานที่เล่าถึงสไตล์ที่ไม่แตกต่างเท่าไหร่ ผู้เขียนเป็นอีกคนที่ชอบในเรื่องของลายเส้น แต่ด้วยความที่เป็นลายเส้นที่เราเหล่าคนดูคุ้นหูคุ้นตา เลยทำให้ฉากในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น ทั้งธีมหลักและธีมหลังไม่ว่าจะเป็นตัวละคร หรือแม้แต่ความเป็นตึกรางบ้านช่องก็ล้วนแล้วแต่ส่งภาพยนตร์ในมีความน่าสนใจเต็มไปหมด สาดแสงสีเสียงกันอย่างมันมืออีกไม่นานเราคงได้เห็นงานภาพและฉากแบบนี้มากขึ้นเป็นแน่ผู้เขียนว่างั้น2 คัท (Cut) คือ “มุม”ว่าด้วยเรื่องของบท / สิ่งที่แตกต่างของ ‘Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem’ นั้นก็คือการที่ความหมายของคำว่า “Teenage” ที่ไม่ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าเลยครั้งในรูปแบบของความว่าภาพยนตร์ที่ขึ้นฉายจอเงิน และการเล่าถึงสิ่งที่เป็น Pop Culture ก็มีการเล่าถึง K-pop – วง BTS และอนิเมะอย่าง Attack on Titan นับว่าเชื่อมยุคเชื่อมสมัยได้อย่างทันท่วงทีของบทภาพยนตร์ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆในเรื่องนี้ไม่แพ้การหยิบยกเรื่องราวของวัยรุ่นมาเล่า แต่การหยิบมุกต่างๆมาเล่ามาเล่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน หากใครได้มีโอกาสดูเวอร์ชั่นเสียงต้นฉบับจะพบได้ทันทีเลยว่า มุมตลกในเรื่องมันตลกได้ใจ แม้จะเอามาใส่เสียงไทยบางมุขก็ไม่ได้เก็ท เหมือนกับภาพยนตร์วัยรุ่นหลายๆเรื่องที่เล่าถึงความเป็นหัวขบถ เรื่องนี้ก็เดินตามรอยนั้นแต่ผู้เขียนถือว่าเดินได้เจ๋งกว่า ในหลายๆมุมส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามันดูแปลกใหม่มากกว่า หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราเหล่าคนดูไม่เคยเห็น นินจาเต่าที่เป็นนินจาเต่าตอนวัยห้าววัยมันส์ มันเลยเป็นอะไรที่น่าจับตา ถึงอย่างไรก็ตามบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีความนุ่มแต่ก็ลึกได้อย่างน่าสนใจ หยิบแกนกลางและแง่คิดเรื่องความเกลียดชังมาเล่าได้อย่างไม่เคอะเขินเลยก็ว่าได้3 เทค (Take) คือ “จำนวนครั้งที่เล่น”ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร / หากจะพูดถึงประเด็นเด็ดของเล่าตัวละครผู้เขียนแอบประทับใจที่ทีมสร้างกล้าที่จะแหลกขนบเก่าของตัวละคร ในเรื่องของความเป็นบิวตี้สแตนดาร์ด เหมือนกับว่าเรื่องนี้มันถูกสร้างมาให้ตรงกับแนวคิดของคน GEN Z มายังไงยังงั้น เล่าความหลากหลายได้อย่างไม่เคอะเขิน และท้าทายการตลาดสุดๆกับการหยิบเอานักแสดงหน้าใหม่มาให้เสียงพากย์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นคุณภาพ รู้อยู่แล้วว่าตัวละครต่างๆในเรื่องอย่างแก๊งเต่าเป็นอะไรที่น่าจะขายได้ด้วยตัวของมันเอง แต่การเสริมทัพด้วยเหล่าวายร้ายในเรื่องก็เป็นอะไรที่น่าจับตาไม่แพ้กัน ตัวละครต่างๆล้วนอยากเติบโตไปเป็นคนที่ดีกว่าการก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดของชีวิต กำลังใจมักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างตัวละครที่ชื่อ “เอพริล โอนิล” เป็นตัวละครอีกตัวที่ผู้เขียนชอบมากๆ กับการก้าวผ่านความกลัวในจะของเธอ ในไม่สู่มิตรภาพมากมายในเรื่องเลยก็ว่าได้ หรือเหล่าตัวร้ายที่มีเสน่ห์มากๆของเรื่องเช่นกัน การทำให้คนอื่นยอมรับไม่จำเป็นต้องเป็นคนร้ายเสมอไป แต่ก็ทำให้ตัวเองมีตัวตนคือการทำให้เขาเชื่อและเห็นคุณค่าในตัวเรา ส่วนใหญ่ตัวละครที่ไม่ได้ร้ายจริงในโลกของภาพยนตร์ของเป็นแบบในเรื่องนี้ แต่ตัวละครเรื่องนี้มันถูกส่งในน่าสนใจด้วยบท มันเลยกลายเป็นตัวละครที่ทรงคุณค่าขึ้นมาอย่างเป็นได้ชัด4 Slate คือ ป้ายที่เขียนบอก ซีน คัท เทคว่าด้วยเรื่องของความหมาย / การเป็นที่ยอมรับของใครสักคน ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง การมีตัวตนหรือสร้างตัวตนในโลกนี้ทุกวันนี้ผู้เขียนก็มองว่าง่ายแต่ความง่าย ที่คิดไว้มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเรายังมองความแตกต่างเป็นสิ่งที่ไม่น่ายอมรับทางสังคมอยู่ดี ในเรื่องนี้ก็เหมือนกันเสนอความแปลกใหม่แต่ก็ยังแอบใส่ประเด็นสังคมที่หลายคนอาจจะหลงลืมไปแล้วว่า เราไม่ได้ยอมรับความแตกต่างได้ง่ายขนาดนั้น แต่ยังดีที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอสิ่งที่น่าสนใจในแง่มุมต่างๆได้อย่างไม่เคอะเขิน ทั้งตัวละครผิดสีที่ในเวอร์ชั่นอื่นๆจะใส่ตัวละครที่ไม่ได้เป็นภาพลักษณ์ แบบนี้ และความหมายแห่งมิตรภาพที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แอบหยิบมาเล่นก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนประทับใจไม่แพ้กัน ทั้งในแง่ของตัวละครอย่างแก๊งเต่าที่ตัดกันไม่ขาดและในเวอร์ชั่นนี้ทำออกมาได้ดีในเรื่องนี้และตีความหมายของวัยรุ่นวัยมันส์ได้อย่างตรงไปตรงมา ตัวร้ายที่ไม่ได้เห็นด้วยกับตัวหัวหน้าต้นเรื่อง อันนี้เราเหล่าคนดูอาจจะเห็นผ่านหูผ่านตากันมามากมายหลายเรื่องเรื่องนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน และการช่วยเหลือของสังคมเป็นอีกประเด็น ที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจเมื่อคนเราเปิดใจยอมรับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็จะยอมทำในสิ่งนั้นอย่างเต็มใจ เมื่อเมื่อในการยอมรับความแตกต่างในสังคมก็ง่ายขึ้นเมื่อเรามองในหลายๆเรื่องต่างออกไป สีผิว ศาสนา เพศ หรือแม้แต่ฐานะทางสังคม จงมองปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนที่เราอยากได้รับการยอมรับจากคนอื่น เรื่องนี้ผู้เขียนมองความตีความหมายได้แตกและน่าจดจำ5 “คัท !!!!”น่าเสียดายที่ Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem เต่านินจา: โกลาหลกลายพันธุ์ ไม่มีชื่อเข้าชิงออสการ์หากจะพูดถึงซูเปอร์ฮีโรกับคนที่เติบโตมาในยุค 90’s มีตัวละครหลายตัวที่อยู่ในดวงใจมากมายหลายตัวไม่ว่าจะเป็นค่ายภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ อย่าง DC หรือ Marvel แต่หากย้อนกลับไปแล้วละก็ คงไม่มีแฟนภาพยนตร์คนไหนไม่เคยได้ยิน ชื่อ ‘Teenage Mutant Ninja Turtles’ หรือในชื่อไทยว่า ‘ขบวนการมุดดิน นินจาเต่า’ ออกฉายในปี 1990 และประสบความสำเร็จจันแบบถล่มถลาย หากเป็นเด็กรุ่นหลังก็น่าจะรู้จักผลงานของไมเคิล เบย์ (Michael Bay) จนได้หนังมาอีก 2 ภาคในปี 2014 และ 2016 ถึงกระนั้นตัวละครอย่าง “นินจาเต่า” ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากกาลเวลาและอยู่ในความทรงจำมาตลอดกว่า 30 ปี เบื้องหน้าจัดว่าโดน เบื้องหน้าก็เด็ดไม่แพ้กัน ยกทีมเหล่านักแสดงหน้าใหม่มาให้เสียงพากย์กันแบบคับแก้ว อย่างไมคาห์ แอบบีย์ พากย์เป็น โดนาเทลโลชามอน บราวน์ จูเนียร์ พากย์เป็น ไมเคิลแองเจโล หรือ มีเกลันเจโลนิโคลัส คานทู พากย์เป็น ลีโอนาร์โด เบรดี้ นูน พากย์เป็น ราฟาเอลโดยทั้งสี่ หนุ่มเลือกที่จะแหกขนมการพากย์เสียง เปิดตี้พากย์พร้อมกันอย่างเมามันส์ และในทุกซีนของเรื่อง ทาวทีมสร้างก็ใจถึงเปิดโอกาสให้ Improvise ได้อย่างเมามันส์และร่วมกันค้นหาตัวตนของเหล่าเต่านินจาบทใหม่นี้ ผสมผสานกันอย่างลงตัวและเราเหล่าคนดุต่างก็หลงรักกันไปโดยปริยาย ถึงกระนั้นเพลงประกอบของเรื่องนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าประเด็นอื่นเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นEye Know - De La Soul feat. Oris ReddingDance - ESGNo Diggity - Black Street (feat. Dr.Dre & Queen Pen)Happy Ending / Sewer Home - Trent Reznor & Atticus RossFabulous Secret Power - SLACKCiRCUCan I Kick It - A Tribe Called Questบอกได้คำเดียวเลยว่าดูภาพยนตร์ไปด้วยโยกตัวตามไปด้วยไม่เกินจริง สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นความเจ๋งที่ลงตัวแบบสุดๆ เลยก็ว่าได้ชอบประโยคนี้ : เราคิดว่าเราต้องการโลกมนุษย์ แต่จริงๆเราแค่ต้องการกันและกัน - คุณพ่อของแก๊งเต่า มนุษย์หนู (สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น)ขอบคุณภาพประกอบจาก TMNT - ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องไหนเพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้แบบ Exclusive เจาะลึกถึงวงการบันเทิงที่มากกว่าใคร หากคุณรักภาพยนตร์ รักซีรีส์ อนิเมะ แอนิเมชัน และเกม ที่เดียวที่ จิปาถะ และ อรรถรสจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !