หลังจากการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลได้ประกาศบังคับใช้มาตรการต่างๆ ในการยับยั้งการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัส ให้อยู่ในปริมาณที่จำกัด เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ที่มีเพียงหยิบมือได้ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถ และลดการเสียชีวิตของประชากร ที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้คนเป็นวงกว้าง ทั้งเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ลงไปถึงประชาชนระดับรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ รวมไปถึงชาวประมงชายฝั่ง กลุ่มอาชีพเล็กๆที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและชุมชนในพื้นที่ ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช หมู่บ้านชาวประมงชายฝั่ง ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ Covid-19 ลูกนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้นความยากลำบากของชาวประมงได้ดำเนินต่อเนื่องมายาวนานเป็นเวลากว่า 1 ปี แล้ว เครดิตภาพถ่ายดาวเทียม : NASA https://blogs.nasa.gov/hurricanes/tag/pabuk-2019/ 4 มกราคม พ.ศ. 2562 หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ พายุโซนร้อน "ปาบึก" พายุโซนร้อนที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 50 ปี เคลื่อนตัวจากอ่าวไทยเข้าชายฝั่งจังหวัดนครศรีธรรมราช บริเวณแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง เวลาประมาณ 12.00 น. ซึ่งก่อนหน้านั้น เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทางการได้ส่งกำลังทหารมาอพยพ ชาวบ้านทุกคนออกจากพื้นที่ ไปยังศูนย์อพยพชั่วคราวในตัวเมือง โดยหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องได้จัดเตรียมไว้ เสาไฟฟ้าหักจากลมพายุ ด้วยความรุนแรง และความเร็วของพายุใกล้จุดศูนย์กลางกว่า 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินชาวบ้าน ชาวประมง และสัตว์เลี้ยงต่างๆ เป็นวงกว้างบางคนสูญเสียบ้าน บางคนสูญเสียเรือและเครื่องมือหาปลา บางคนไม่เหลืออะไรเลย มีเพียงเสื้อผ้าที่ติดตัวมาเท่านั้นชาวบ้านนับหมื่นชีวิตบริเวณชายฝั่งได้รับผลกระทบ เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่พายุได้เคลื่อนตัวผ่าน ภาคใต้ของประเทศไทย หลังจากนั้นได้กลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ และสลายตัวในอ่าวเบงกอล มหาสุมทรอินเดีย หลังจากวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562 เมื่อพายุผ่านพ้นไป ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใสอีกครั้ง แต่ความเสียหายยังคงอยู่ เป็นเวลากว่า 4 เดือน ที่ชาวบ้าน และชาวประมงต้องซ่อมแทรมบ้านเรือน เรือ และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ออกทะเลหาปลาได้อีกครั้ง พร้อมทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ เอกชน และพี่น้องชาวไทยด้วยกันเองที่ช่วยกันบริจาคสิ่งของต่างๆ จนทำให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนั้นไปได้ ภาพมุมสูงปากน้ำปากนคร วันเวลาล่วงเลยไป ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะปกติ พายุได้นำความหลากหลายของสัตว์น้ำในทะเลกลับมาอีกครั้ง จึงทำให้ชาวประมงค่อยๆกลับมายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมา คลื่นยักษ์วิกฤตลูกที่ 2 จาก Covid-19 ได้ส่งผลกระทบอีกครั้ง เมื่อร้านอาหารต่างๆ และธุระกิจที่ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต ต้องปิดตัวลงชั่วคราว ปลาดุกสดๆ จากทะเล คนจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้าง ออกจากงาน ถูกบังคับให้ต้องใช้จ่ายกันอย่างประหยัด ทำให้กุ้ง หอย ปู ปลา ที่หามาได้นั้น ขายไม่ได้ พอไม่มีคนซื้อ พ่อค้าคนกลางก็ไม่รับซื้อของจากชาวประมง ส่งผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ จากที่มีรายได้ทุกวัน กลับกลายเป็นไม่มี!! จึงส่งผลให้ชาวประมงต้องปรับตัวอีกครั้ง โดยการวิ่งเร่ขายของที่หามาได้ถึงมือลูกค้าโดยตรง แบบไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ตามแหล่งชุมชน หมู่บ้านในตัวเมือง และบริเวณใกล้เคียง และบางกลุ่มก็ได้มีการรวมตัวกันผลิต แปรรูปสินค้า เพื่อขายตรงสู่ลูกค้าผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ จนได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เป็นเพราะภาวะวิกฤตเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน จึงทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การปรับตัวที่รวดเร็ว สอดรับกับความรู้แหละภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงทำให้ชาวบ้านและชาวประมงชายฝั่ง สามารถประคับประคองผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบากเหล่านี้ไปได้ สุดท้ายผู้เขียนก็อยากจะเป็นกำลังใจให้พวกเราทุกคน ตั้งสติ ค่อยๆมองหาทางออก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วเราจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน เครดิตภาพถ่ายทั้งหมดโดย : ผู้เขียน Paiboon Chooklin http://www.shutterstock.com/g/PaiboonChooklin