ดินแดนแห่งนกเงือก คงไม่มีที่ไหนในแผ่นดินไทยที่สามารถพบนกเงือก นกแห่งป่าฝนได้หลากหลายชนิดเท่าผืนป่าปลายด้ามขวานนาม ฮาลา บาลา อีกแล้ว นับแต่อดีต เรื่องราวของการรสำรวจผืนป่าตกสำรวจแห่งนี้โดยนักดูนก และ นักท่องไพร ทั้งหมดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ณ ที่นี้คือ สวรรค์ของสรรพสัตว์ นกหลากหลายชนิดที่คิดว่าสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยยังคงพบได้ที่นี่ โดยเฉพาะ พญาปักษาแห่งป่าฝนเขตร้อน นกเงือก ตัวแทนแห่งสรรพชีวิตแห่งป่าฝน ที่นี่สามารถพบนกเงือกได้ถึง10 ชนิด จากจำนวน 13 ชนิดในประเทศไทย ......ไท ตะลอน เฝ้าฝันอยากมาเยี่ยมดินแดนแถบนี้นับแต่เริ่มมีการจัดตั้งในปี 2539 นิตยสารท่องเที่ยวสาย OutDoor ต่างลงเรื่องราวเหล่านี้ไว้มากมาย แต่ด้วยทุนทรัพย์ที่เล็กน้อยบวกกับระยะเวลาที่จำกัด เลยได้แต่เฝ้าและรอว่าฝันจะเป็นจริงเมื่อไหร่ จวบจนกระทั่ง ปี 2562 เพื่อนที่รักใคร่กันได้โทรมาบอกว่า หาคนไปเที่ยวฮาลาบาลาด้วย ไท ตะลอนจึงใจง่าย ขอตามไปด้วยทันที ( รอมา 20 ปีพอดี หุ หุ ) รู้จักผืนป่าฮาลา บาลา ป่าใหญ่ชื่อแปลกแห่งนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเมื่อไม่นานนัก อาจด้วยสถานการณ์ความรุนแรงในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ใครไม่ใคร่กล้ามา นอกจากนักท่องเที่ยวสายฮาร์ดคอร์ หรือไม่ก็นักดูนกที่ปรารถณามาดูนกเงือกเท่านั้นที่จะดั้นด้นมาที่นี่ ป่าฮาลา บาลา เป็นป่าสองผืนแต่ไม่ติดกันนะครับ ( เฉพาะในเขตประเทศไทย ) เพราะอันที่จริงป่าผืนนี้เชื่อมต่อกันทางฝั่งมาเลเซียที่เรียกว่าผืนป่าเบลุ่ม แล้ววกมาเชื่อมต่อกันอีกครั้งในเขต จ.ยะลา ป่าสองส่วนของที่นี่ ชื่อแรก ฮาลา มีความหมายในภาษามลายูว่า อพยพ ซึ่งผืนป่าฝั่งนี้จะอยู่ทาง อ.ธารโต อ.เบตง จังหวัดยะลา ส่วนป่าที่คนส่วนใหญ่มาดูนกเงือกกันจะอยู่ทางฝั่ง อ.แว้ง และ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ที่มีชื่อว่าป่า บาลา ที่หมายถึง " หลุด " หรือ " ปล่อย " ซึ่งมาจากตำนานช้างเชือกหนึ่งที่หนีมาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ลักษณะโดดเด่นของป่าฮาลา บาลา เป็นป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่ อยู่สุดปลายด้ามขวานของไทย มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ขณะที่ไท ตะลอนอยู่ที่ป่าบาลา เขตจังหวัด นราธิวาส สายฝนโปรยปรายเหนือผืนป่าแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย ก่อเกิดเป็นป่าที่มีลักษณะพิเศษ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ป่าดิบชื้นแบบมลายู มีพันธุ์พืช พันธู์สัตว์ที่แปลกตา โดดเด่นกว่าที่จะพบในป่าผืนไหนของเมืองไทย โดยเฉพาะนกนา นาพันธุ์ที่พบมกกว่า 300 ชนิด และนกที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของป่าผืนนี้คือ นกเงือกนั่นเอง บุหรง ออรัง นกคน " บุหรง ออรัง มีนิสัยคล้ายคน รักเดียวใจเดียว อยู่กันผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิตของมัน " นิยามที่คนทั่วไปมอบให้ นกเงือก ตัวแทนแห่งป่าฝนเขตร้อน นกเงือกมีขนาดใหญ่ ขนปีกเหมือนนกโบราณ ทำให้ทุกครั้งที่นกเงือกบินจึงมีเสียงดัง " วี๊ด วี๊ด " อยู่ตลอดเวลา นกเงือกที่ถือเป็นดาวเด่นแห่งผืนป่า ฮาลาบาลา คือ นกเงือกหัวแรด นกเงือกชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของผืนป่าแห่งนี้ ถึงขนาดที่ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาได้นำ นกเงือกหัวแรดมาเป็นสัญลักษณ์ของทางเขต ฯ ด้วย นกเงือกหัวแรด เป็นกที่มีขนาดใหญ่มาก ความยาวตลอดลำตัวอาจยาวถึง120 เซ็นติเมตร นั่นมันขนาดน้อง ๆ ไดโนเสาร์มีปีกในยุคดึกดำบรรพ์เลย มีขนสีดำขลับตลอดทั้งตัว ท้องสีขาว แต้มปลายหางด้วยแต้มขนสีขาว ตัวผู้และตัวเมียสามารถแยกออกจากกันได้ด้วยสีของเปลือกตา โดยตัวผู้มีเปลือกตาสีแดง ส่วนตัวเมียมีเปลือกตาสีขาว และจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์คือ โหนกสีแดงสดคลิปปลายสีเหลือง ตอนปลายโค้งงอนคล้ายนอแรดจึงเป็นที่มาของชื่อนกเงือกหัวแรด ในปัจจุบันนกเงือกหัวแรดหาพบได้ยากมากและถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของประเทศไทย ภารกิจตามหาเจ้าหงอนแดง ทีมเราวางแผนอยู่ที่ผืนป่าบาลา ประมาณ 3 วัน เพื่อดูนกและเดินปา และแน่นอน เจ้าพญาปักษา นกเงือกหัวแรด คือเป้าหมายสูงสุดของเรา เราเฝ้ารออยู่นานแสนนาน ทุกครั้งยามออกเดินป่า เราคอยเงี่ยหูฟังเสียง วืด ๆ บนท้องฟ้า มีเรื่องราวที่ทำให้ชื่นใจอยู่เนือง ๆ ว่่า ผืนป่าแห่งนี้ยังสมบูรณ์ คือ นกนานาชนิดที่ออกมาโชว์ตัว รวมถึงนกเงือกหัวหงอก นกเงือกปากดำ ที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับเรา แต่จนแล้วจนรอด เรายังไม่เห็นการมาปรากฎตัวของพญาปักษา นกเงือกหัวแรดเลย วันสุดท้ายของการเดินทาง เราผิดหวังกันอย่างมากที่ไม่พบนกเงือกหัวแรด มีบางคนโชคดีได้เห็นนกเงือกหัวแรดในจุดชมสัตว์ แต่ก็เป็นระยะที่ต้องร้องเพลงของพี่บอย โกษิยพงศ์ว่า " เพราะว่าเราห่าง ไกล กัน เหลือ เกิน " ยังไม่ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น ขณะที่ทุกคนทยอยทำภารกิจส่วนตัว บ้างก็อาบน้ำ บางคนกำลังถอดกล้องเก็บเข้ากระเป๋า ทุกคนเริ่มพูดคุยว่า จะมาอีกทีเมื่อไหร่ ตอนไหนเป็นตอนที่เหมาะที่จะมาดูนกเงือกหัวแรด เรายังโดนเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสำทับกลับว่า " พี่มาช้าไป เพราะลูกไทรหมดแล้ว " เป็นการตอกย้ำถึงความผิดหวังที่เราพบเจอในทริปนี้ แต่แล้ว !!!!!!! " วื๊ด วื๊ด วี๊ด วี๊ด วี๊ด " " เฮ้ย !!!!! นกเงือกหัวแรด " " เกาะต้นไม้ไม๊ !!! ??? " " เอ๊า บินมาอีกตัวแล้ว นี่มันคู่กันนี่นา " ป่าฮาลา บาลา กลัวพวกเราไม่มาอีก จึงประทานของขวัญสุดวิเศษให้ นกเงือกหัวแรดคู่ผัวเมีย บินผ่านพวกเราไป เราต่างลุ้นกันสุดตัวว่า นกจะแค่บินผ่าน หรือจะลงเกาะให้เราได้ชื่นชม วินาทีถัดมา คำตอบของเราก็กระจ่างทันที " เกาะแล้ว เกาะแล้ว เกาะตรงต้นไม้ใหญ่หลังห้องน้ำ " นับเป็นตลกร้ายอย่างล้นเหลือ เราเที่ยวเดินไปทั่วผืนป่า บาลา ขับรถไปกลับ เดินขึ้นเขา ลงหุบเขา ร่วม 50 กิโลเมตร แต่สุดท้าย กลายเป็นต้นไม้หลังห้องน้ำบ้านพักเรา เป็นจุดที่นำเราให้ได้พบกับนกเงือกหัวแรด พญานกแดนใต้ นกเงือกแสนงามสุดโดดเด่นแห่งผืนป่าฮาลาบาลา เราต่างพากันบันทึกภาพความทรงจำเอาไว้ในทุกรูปแบบ ทั้งภ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ รวมถึงการเฝ้ามองนกคู่รักทั้งสองคลอเคลีย หยอกล้อ ป้อนอาหารให้แก่กัน " น่ารักขนาดนี้ ยังมีคนล่ามันอยู่เนาะ " เสียงเพื่อนในทีมพูด ใช่ครับ นกเงือกหัวแรด ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพรานป่าผู้ลักลอบล่าสัตว์ทั้งในไทย และ ประเทศเพื่อนบ้านที่ต่างต้องการล่าเอานกชนิดนี้มาเป็นสัตว์เลี้ยง การปีนรังขโมยลูกนก ยังคงมีอยู่ การขโมยนลูกนกหนึ่งครั้ง นำพาซึ่งการสูญเสียครอบครัวนกเงือกหัวแรดไป เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่า หลายปีก่อน มีคนมาขโมยลูกนกเงือกหัวแรด โดยที่แม่นกสู้สุดขาดใจ แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนล้า จากการผลัดขนเพื่อดูแลลูกนก เจ้านกเงือกตัวเมียจึงพาร่างกายอันบอบช้ำ หนีจากโพรงรังตกมากองอยู่บนพื้น และเมื่อเจ้าหน้าที่ไปพบ ก็เหลือแต่เพียงร่างไร้วิญญาณของนาง พร้อมกับเสียง " ก๊ก ก๊ก " ของนกตัวผู้ที่ร้องเรียกหาคู่รักอยู่หน้าปากโพรง แต่ไม่มีเสียงตอบรับอันใดกลับมา เป็นความสะเทือนใจที่ยังคงมีอยู่ในผืนป่าแห่งนี้ หนึ่งภาพแทนล้านความหมาย มิใช่เพียงแค่การมาเที่ยวเพื่อให้ได้ภาพกลับไป แต่เมื่อเรารู้จักเขา บุหรงออรัง นกคนแห่งผืนป่าฮาลาบาลา เราจะรู้โดยทันทีว่า การมีเขาโบยบินอยู่เหนือผืนป่าแห่งนี้ คือความหมายของความปลอดภัย และบ้านที่สงบสุขของสายพันธุ์อันงดงามชนิดนี้ และยังเป็นตัวบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ที่ยังคงหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตทั้งพืช สัตว์ป่า และมนุษย์ให้ดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปด้วยสายใยแห่งผืนป่า ฮาลาบาลา