วันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนใกล้มาถึงแล้ว อันเป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญดังกล่าวร่วมกันของชาวจีนทั่วโลกเช่นเดียวกับชาวจีนปัตตานี จังหวัดที่แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นชาวมุสลิมก็ตาม แต่ที่นี่ก็มีความแนบแน่นในเชิงประวัติศาสตร์กับนักเดินทางชาวจีนที่มาตั้งรกรากในปัตตานีเมื่อในอดีต โดยมีการเดินทางเข้ามาในหลายครั้งหลายคราจากการค้าขายทางทะเล จนปัจจุบันแหล่งค้าขายดังกล่าวกลายเป็นชุมชนชาวจีนที่กระจายอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองปัตตานีย่านชุมชนชาวจีนในเขตเทศบาลเมืองปัตตานีรู้จักกันในนาม “กือดาจีนอ” เป็นคำเรียกที่ชาวมลายูปัตตานีเรียกชุมชนชาวจีน โดย “กือดา” หมายถึง ตลาด “จีนอ” หมายถึง จีน เมื่อรวมกันแล้วคำว่ากือดาจีนอจึงหมายถึงตลาดจีนนั่นเอง หรือชื่อที่เป็นทางการ คือ “ชุมชนจีนหัวตลาด” โดยเริ่มก่อร่างสร้างชุมชนขึ้นบริเวณถนนอาเนาะรูใกล้กับแม่น้ำปัตตานี และใกล้ปากอ่าวปัตตานีทางออกทะเลอ่าวไทย ในอดีตเป็นท่าเรือค้าขายกันคึกคักของชาวจีนดังที่พบศาลเจ้าจีนที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันเรียกศาลเจ้าดังกล่าวว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่ประดิษฐานรูปสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเรียกติดปากว่า “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” และก็ตั้งอยู่บนถนนอาเนาะรูเช่นกันเมื่อวันตรุษจีนใกล้มาถึง ชุมชนชาวจีนที่นี่มีการประดับประดาโคมไฟสีแดงตามถนนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ถนนอาเนาะรู ปะนาเระ มายอ ฤาดี อุดมวิถี และปรีดา ซึ่งเป็นย่านการค้าขายมาแต่ดั้งเดิมของชาวจีนในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองเนื่องในวันตรุษจีน และบริเวณชุมชนชาวจีนแห่งนี้ รวมถึงศาลเจ้าเล่งจูเกียงและศาลเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจีนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากตรุษจีนอีก 15 วัน ชุมชนชาวจีนที่นี่ก็จะมีประเพณีสำคัญที่แตกต่างจากชาวจีนที่อื่น ๆ คือ การจัดงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเป็นการแห่หรือหามเกี้ยวรูปสลักไม้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และองค์พระอื่นๆ จากศาลเจ้าต่าง ๆ ไปตามชุมชนและบ้านเรือนของลูกหลานชาวจีน ด้วยความเชื่อว่าจะได้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครัว และกิจการค้าขายรุ่งเรือง จากนั้นบรรดาลูกศิษย์ของศาลเจ้าก็จะอัญเชิญองค์พระต่าง ๆ ลุยน้ำ คือ การหามเกี้ยวลงแม่น้ำปัตตานี ณ บริเวณเชิงสะพานเดชานุชิต โดยผู้หามเกี้ยวจะต้องหามเกี้ยวขององค์พระต่าง ๆ ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำปัตตานีจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง เพื่อย้ำเตือนถึงการเดินทางของบรรพบุรุษที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลจากจีนแผ่นดินใหญ่มาถึงดินแดนแห่งนี้ จากนั้นก็มีพิธีลุยไฟ บรรยากาศช่วงนั้นทำให้เขตเทศบาลเมืองปัตตานีคึกคักเป็นพิเศษทั้งผู้คนที่ศรัทธาในองค์พระต่าง ๆ มารอชมและมีส่วนร่วมในพิธี รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวจีนจากประเทศเพื่อนบ้านมากมาย ส่วนเพื่อน ๆ คนใดจะมาร่วมพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวก็ต้องจองที่พักกันล่วงหน้าสักนิดหนึ่งนะครับ และต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมารอชมพิธีสำคัญดังกล่าว นอกจากบรรยากาศวันตรุษจีนแล้ว ที่บริเวณชุมชนจีนหัวตลาดยังมีสถานที่เช็คอินอีกหลายจุด โดยเฉพาะสองฟากฝั่งถนนอาเนาะรูและถนนฤาดี ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกลุ่มอาคารบ้านเรือนที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “ชิโนโปรตุกิส” ซึ่งเป็นรูปแบบการสร้างอาคารที่เป็นอัตลักษณ์ร่วมของชุมชนชาวจีนในบริเวณคาบสมุทรมลายู ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต ตะกั่วป่า หาดใหญ่ ปีนัง รวมถึงสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการร่วมกันและช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันของการเติบโตของชุมชนชาวจีนที่คาบสมุทรมลายูแห่งนี้ เพื่อน ๆ สามารถถ่ายภาพสวย ๆ โพสต์ลงโซเซียลได้แบบคูล ๆ อย่างบริเวณบ้าน "ขุนพิทักษ์รายา" ซึ่งตั้งอยู่บนถนนปัตตานีภิรมย์ ริมแม่น้ำปัตตานี หัวมุมถนนอาเนาะรู ซึ่งเป็นการปรับปรุงและอนุรักษ์บ้านโบราณจนได้รับรางวัลด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี พ.ศ. 2564 ประเภท Award of Merit จาก UNESCO เดินชมบริเวณชุมชนจีนหัวตลาดแล้ว เพื่อน ๆ อย่าลืมถ่ายรูปคู่กับกราฟิตี้บนผนังและกำแพงอาคารย่านเมืองเก่าด้วยนะครับ รับรองเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนแน่นอนครับหากเหนื่อยก็มีร้านคาเฟ่สไตล์ชิค ๆ ไม่เหมือนใครให้ได้นั่งดื่มด่ำชมบรรยากาศความคึกคักของชุมชนชาวจีนและผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ร่วมกันมานานที่นี่ ที่ปัตตานี โดยร้านที่ผู้เขียนขอแนะนำก็คือร้านที่ชื่อว่า "Good Slow Bar" ตั้งอยู่บนถนนปัตตานีภิรมย์ ก่อนถึงบ้านเลขที่ 1 หัวมุมถนนอาเนาะรู สังเกตง่าย ๆ ก็คือมีประตูสีเหลืองนั่นเอง โดยเพื่อน ๆ ต้องไปสั่งเมนูเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ด้านข้างประตูเหลืองก่อน ก็จะพบกับพนักงานชุดดำแต่อัธยาศัยดีคอยให้บริการ แม้จะพูดน้อย แต่แค่เอ่ยปากทักทาย ๆ น้อง ๆ ถามโน่นนี่นั่น รับรองจะได้บทสทนาเกี่ยวกับกาแฟ ผู้คน สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และคำแนะนำดี ๆ อีกยืดยาว ส่วนเมนูที่ผู้เขียนดื่มในวันนี้ก็คือ "ชาเขียวลาเต้" ด้วยคำท้าทายจากพนักงานให้ลองชิมดู "รับรองไม่เหมือนที่ไหน" พนักงานเอ่ย"ไม่เหมือนยังไงอะ" ผมถาม"คือไม่อร่อยเหมือนที่อื่น" พนักงานอีกคนเสริมและหัวเราะ"อ้าว..จะขายดีไม่เนี้ย พี่จะสั่งดีไหม เอ้า ๆ ท้าทายกันขนาดนี้ ลองหน่อยก็ได้" ผมบอกพนักงานไปพอทำเสร็จ พนักงานก็บอกว่า สาเหตุที่ชาเขียวลาเต้ร้านนี้ไม่เหมือนที่อื่นก็เพราะเขาชงชาเขียวให้มีกลิ่นค่อนข้างน้อย แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ที่เน้นกลิ่นชาเขียว ผู้เขียนชิมดูแล้วก็เป็นจริงดังว่า แถมรสชาติก็ละมุน ถูกใจ เมื่อได้เครื่องดื่มแล้วก็เดินออกจากส่วนเคาน์เตอร์บาร์เข้าไปตรงประตูเหลือง เพื่อไปจับจองที่นั่งด้านในริมแม่น้ำปัตตานี มีลมพัดเย็น ๆ เป็นระยะ แต่ควรเลือกไปช่วงลูกค้าน้อย ๆ จะได้เลือกที่นั่งที่ชอบครับ มาเถอะครับ ปัตตานี มาแล้วจะรู้สึกว่า นี่ที่เป็นเสมือนบ้านที่เราห่างหายกันไปนาน กลับมาคราวนี้ ปัตตานีมีอะไรน่าค้นหามากมาย เนื้อหาและภาพทั้งหมดเป็นของผู้เขียนห้องส่องร้านดังมาแรง รวมของกินอร่อยต้องโดน บอกสูตรเมนูลับที่ไม่ลับอีกต่อไป