สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุก ๆ ท่าน ครั้งนี้สิริเปิดด้วยชื่อเรื่องที่ว่า “ทริปทัวร์ 3 มัสยิด” อาจฟังดูแปลก ๆ เพราะผู้อ่านส่วนใหญ่อาจจะเคยได้ยินแต่ทริปทำบุญไหว้พระ 9 วัด แต่นั่นเป็นการท่องเที่ยวในจังหวัดที่มีชาวไทยพุทธเป็นส่วนใหญ่ แต่วันนี้เราลงมาเที่ยวกันที่จังหวัดปัตตานี หนึ่งในดินแดนสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ผู้คนอาจรู้สึกกลัว และไม่กล้าที่จะมาท่องเที่ยวสักเท่าไหร่นัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใด ๆ เพราะเมื่อมาถึงที่นี่คุณจะพบมิติใหม่ ๆ เปลี่ยนเป็นเที่ยวแนววิถีอิสลามกันดูบ้าง ที่จะเปลี่ยนความกลัวนั้นไปเลยก็ได้ สิริจึงพาทุกคนไปทัวร์ 3 มัสยิดชื่อดังของจังหวัดปัตตานี สัมผัสสถาปัตยกรรมแบบอิสลามที่แตกต่าง มาเปิดโลกในมุมใหม่ ๆ กัน โดยสถานที่แรกเราจะเริ่มจากจุดเริ่มต้นคือ เมืองปัตตานี แน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับภาพมัสยิดแห่งนี้ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี หรือชื่อ มัสยิดดญามิอะตุลฟอฏอนี ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถนนยะรัง ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี มัสยิดที่มีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรมจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ทัชมาฮาลแห่งประเทศไทย (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นศาสนสถานสำคัญที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจที่สำคัญของคนในพื้นที่และคนในจังหวัด เรามักเห็นภาพมัสยิดนี้ตามวีดิโอเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนใต้บ่อยครั้ง ตอนที่ผู้เขียนไปถึงมีนักศึกษาชาวต่างชาติ ตลอดจนนักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวชมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเป็นจำนวนมาก หากมาปัตตานีแล้วไม่ได้มาเช็คอินที่นี่ ก็เหมือนมาไม่ถึงปัตตานีนะคะ จุดหมายที่ 2 ของเรา ต้องเดินทางออกจากตัวเมือง ไปยังตำบลตันหยงลูโละ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร เวลาเดินทางไม่เกิน 20 นาที ก็จะเห็นมัสยิดอิฐสีน้ำตาลแดงตั้งเด่นอยู่ริมถนน ใกล้กันคือฮางซุ้ยของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว คงเดาออกแล้วสิว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือ มัสยิดกรือเซะ หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) มัสยิดกรือเซะคงคุ้นหูใครหายคน อาจเคยได้ยินมาจากเรื่องราวตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือจากข่าวสารที่เคยมีการกราดยิงก่อการรายที่มัสยิดแห่งนี้จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก มัสยิดกรือเซะมีอายุกว่า 200 ปี และคงสภาพเดิมไว้เช่นนี้ ดูผิวเผินคงเหมือนกับเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่อนุรักษ์ไว้เฉย ๆ แต่ความจริงแล้ว มัสยิดแห่งนี้ยังเป็นศาสนสถานให้คนในพื้นที่ใช้ละหมาดกันปกติ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและมีคนมาแวะเวียนไม่ขาดสาย จึงเป็นมัสยิดเต็มไปด้วยเรื่องราว แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ จุดหมายสุดท้ายของเรา ออกเดินทางต่อจากถนนเส้นเดิม ไปต่อยังตำบลบางปู อำเภอยะหริ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที เพื่อไปยังมัสยิดอัตตะอาวุน บางปู (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) สถาปัตยกรรมโดดเด่นแนวตะวันออกและยุโรปที่ผสมผสานกัน ตลอดจนสีของมัสยิดสีขาว และโดมมัสยิดสีน้ำเงิน ทำให้มัสยิดอัตตะอาวุน บางปู ดูโดดเด่นตั้งแต่ไกล ยอมรับเลยว่าเป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่และสวยงามไม่แพ้ไม่แพ้มัสยิดกลางของปัตตานีเลย ตอนที่เราไปอยู่ในระหว่างการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ มีทั้งการจัดสภาพแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ต้นอินทผลัม รวมถึงสร้างสระน้ำ เราเดินไม่ไปเยี่ยมชมโดยรอบและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก บอกเลยว่าถ่ายออกมาแล้วดูดีเหมือนอยู่มัสยิดต่างประเทศเลยทีเดียว นี่คือเรื่องเล่าของสิริที่ได้ตั้งใจไปทริปทัวร์ 3 มัสยิดของจังหวัดปัตตานี เป็นอย่างไรบ้างคะ สิริคิดว่าผู้อ่านหลายคนคงได้เปิดมิติใหม่ ๆ ของการท่องเที่ยว ความจริงแล้วมัสยิดก็เที่ยวได้ เพียงแค่ต้องมีคนคอยแนะนำและปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกียรติศาสนสถาน วิถีชีวิตแบบอิสลามไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแค่คุณลองเปิดใจ สามจังหวัดชายแดนใต้ยังมีอะไรอีกมากมายให้คุณมาค้นหา...