ช่วงนี้ ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหน ๆ จะเห็นมีแต่ลูกกระท้อน ตั้งวางขายกันเต็มไปหมด อย่างที่เคยบอกในบทความก่อนหน้านี้ ว่า ผู้เขียนเป็นคนที่ชอบกระท้อนมาก ๆ โดยเฉพาะ กระท้อนปุยฝ้าย เพราะจะมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวแถมเนื้อจะเยอะกว่ากระท้อนแบบอื่น ๆ อีก เช้านี้ เลยมีเป้าหมายแผงขายร้านเดิมที่เคยซื้อไปเมื่อวันก่อนที่กินแล้วติดใจ เลยแวะดูอีก หลังจากแวะมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีมาขาย แต่วันนี้โชคดีเป็นของผู้เขียนแล้ว มีขายเต็มโต๊ะเลย ทั้งใส่ถุงไว้ ทั้งวางไว้ วันนี้รับมา 2 ถุงเลย ถุงละ 30 บาท วันก่อนลดถุงละ 20 บาท เพราะฝนทำท่าจะตก วันนี้ฝนไม่ทำท่าจะตกก็เลยได้ราคาเต็ม แต่ก็ไม่เป็นไรช่วย ๆ กัน ช่วงวิกฤตแบบนี้ พ่อค้าแถมมาให้อีก 2 ลูก ได้ไปฝากน้อง ๆ ที่ทำงานด้วย ใจหนึ่งก็อยากจะเหมาทั้งหมด เพราะติดใจในรสชาติจริง ๆ พิกัดที่ตั้งแผงขายจะอยู่ใกล้ ธนาคารไทยพาณิชย์ เส้นถนนราษฎร์อุทิศ 200 ปี ป่าตอง ทุกเช้าจะมีพ่อค้าแม่ค้า มาตั้งขาย หมี่ผัด ไข่ต้ม ขนมหวาน แกงต่าง ๆ ผักต่าง ๆ ทั้งตั้งโต๊ะ ทั้งรถเข็น ซึ่งผู้เขียนมักแวะซื้อบ่อย ๆ แต่กระท้อนจะมีเฉพาะช่วงนี้เท่านั้นนะครับ ต้องคอยแวะถาม เพราะไม่ได้มีทุกวัน สำหรับเมนู วันก่อนทำยำไปแล้ว วันนี้ขอเป็นเมนูหวาน ๆ บ้างดีกว่า ที่คิดไว้คือ "เมนูกระท้อนลอยแก้ว" เอาละครับ ได้กระท้อนมาแล้ว มาดูกันครับว่า กระท้อนลอยแก้ว จะมีวัตถุดิบอะไรบ้าง จะยาก หรือง่ายขนาดไหน วัตถุดิบ 1.กระท้อน 2.น้ำตาล 3.เกลือ เท่านี้เองครับ สำหรับเมนูนี้ ง่ายมากครับ สำหรับกระท้อนในการทำ กระท้อนลอยแก้วนั้น แบบไหนก็ทำได้ จะปุยฝ้าย หรือ ไม่ก็ได้ แล้วแต่ชอบนะครับ หากใครชอบแบบเปรี้ยว ๆ กระท้อนบ้าน ๆ ก็ได้ ได้ความเปรี้ยวสะใจแน่นอนแต่ลูกและเนื้ออาจจะแข็งและฝาดไปหน่อย หากใครมีเทคนิคดี ๆ ก็จะช่วยให้ลดความเปรี้ยวและฝาดลงได้ เดี๋ยวผู้เขียนแนะนำอีกที ส่วนน้ำตาล วันนี้ได้น้ำตาลทรายขาวที่ทำจากต้นอ้อย เกลือขอใช้ดอกเกลือ จริง ๆ เกลือธรรมดาก็ได้เช่นกัน เอาหล่ะ มาดูวิธีการทำ เมนูกระท้อนลอยแก้ว กันครับว่าจะง่ายแสนง่าย ขนาดไหน ขั้นตอนที่ 1 ให้นำกระท้อนที่เราซื้อมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วทำการปอกเปลือกออกให้เกลี้ยง เพื่อลดความฝาด ขั้นตอนที่ 2 ใส่เกลือลงในน้ำ นำลูกกระท้อนที่ปอกเปลือกแล้ว ลงไปแช่ทิ้งไว้สักพักประมาณ 10 นาที เพื่อไม่ให้เนื้อกระท้อนดำ และลดความฝาดและเปรี้ยวลง แต่หากเป็นกระท้อนปุยฝ้าย ไม่ต้องต้องแช่นานก็ได้ ขั้นตอนที่ 3 ให้นำเนื้อกระท้อนออกมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็พอ แล้วแต่เทคนิคใคร เทนนิคมันนะครับ บางคนมีฝีมือหน่อยก็อาจจะหั่นเป็นดอกไม้ให้สวยงาม แต่ผู้เขียนขอหั่นแบบง่าย ๆ ก็พอ เมื่อหั่นเสร็จแล้ว แช่ทิ้งไว้ในน้ำเกลืออีกสักประมาณ 10 นาที พักไว้ก่อน ขั้นตอนที่ 4 ยกหม้อ ใส่น้ำ ตั้งไฟ ใส่น้ำตาลและเกลือลงไป ตั้งไฟอ่อน ๆ ก็พอนะครับ ต้องหมั่นคนให้น้ำตาลละลายอยู่เรื่อย ๆ ปริมาณของน้ำตาล ขึ้นอยู่กับว่า กระท้อนเรามากหรือน้อยนะครับ วันนี้ผู้เขียนไม่เน้นหวานมากนัก เลยใส่น้ำตาลนิดหนึ่ง กับ เกลือ แล้วชิม บางคนก็ใส่ใบเตยลงไปด้วยช่วยให้น้ำหวานมีกลิ่นหอมมากขึ้น เมื่อน้ำตาลละลายชิมได้ความหวานตามที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนที่ 5 ใส่เนื้อกระท้อนที่เราแช่ได้ที่แล้วลงไป คนให้เข้ากันกับน้ำเชื่อมหวาน รอจนเนื้อกระท้อนสุก ก็เรียบร้อยแล้วครับ ปิดไฟ รอให้เย็นแล้วค่อยตักใส่ชามเล็ก ๆ ได้เลย เมนูนี้ ทำเองกินเองเลยไม่ได้เน้นความสวยงามสักเท่าไหร่ วิธีกินให้อร่อย ต้องแช่เย็น หรือ หากมีน้ำแข็งก็เอามาใส่ลงไปให้เย็นสักพัก ก็กินได้เลยครับ เปรี้ยว หวาน เค็ม เย็นชุ่มคอ ดีครับ สำหรับเมนูนี้ ลองเอาไปทำกินดูนะครับ ไม่เฉพาะกระท้อน ที่ทำลอยแก้วได้ ลูกตาลลอยแก้ว เงาะลอยแก้ว ลิ้นจี่ลอยแก้ว ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว มะยงชิดลอยแก้ว สละลอยแก้ว ลำไยลอยแก้ว สับปะรดลอยแก้ว ยังมีอีกเยอะเลยนะครับ สรุปเมนูนี้ แม้จะทำเองกินเอง ให้คะแนนเอง ก็คือให้ ผ่าน ไม่ได้ต่างจากที่ซื้อกินที่ร้านเลยครับ กินไม่หมดก็ใส่ภาชนะเก็บแซ่ตู้เย็นไว้ได้ ยิ่งเย็นยิ่งอร่อย ครับ ช่วงนี้คงกินกระท้อนกันจนเบื่อไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว กระท้อนออกผลกันเยอะ ภูเก็ตตลาดก็เยอะ หาผลไม้บ้าน ๆ แบบนี้กันได้ไม่ยาก เหลือแต่เมนูแกงลูกกระท้อนนี่ละ ที่ยังไม่ได้เอามาลองทำดู แต่เคยกันแล้วอร่อยมากทีเดียว ทั้งแกงกระทิ แกงส้มลูกท้อน พูดแล้ว น้ำลายไหลอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม หากจะกินกระท้อนอร่อย ๆ เนื้อเยอะ หวาน อมเปรี้ยว ต้องกระท้อนพันธุ์ปุยฝ้ายนะครับ รับรองจะติดใจ ภาพทั้งหมด โดย ผู้เขียน