อย่าหมิ่นเงินน้อย... สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ผมเริ่มหัวข้อที่ผมกำลังจะเขียน ผมเชื่อว่าทุกคนหลายคนที่กำลังอ่านบทความของผมอยู่ คงเคยได้ยินมามากมาย กับคำว่า "อย่าหมิ่นเงินน้อย" ใช่แล้วครับ คำนี้คงผ่านหูใครหลายคน และผมก็เชื่อเช่นกันว่าอีกหลายคนก็คงมองผ่าน และไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายกับคำๆนี้ และหนึ่งในนั้นก็รวมผมอยู่ด้วยเช่นกัน... ผมคนนึงเป็นเด็กหนุ่มที่หารายได้ทุกวิธีทางที่ทำได้ โดยหาเงินด้วยความขยัน และสุจริต เพราะผมเกิดจากครอบครัวที่ยากจน (เรียกว่าจนแบบเต็มขั้น) ผมจึงถูกสั่งสอนให้รู้จักการหาเงิน ไม่ว่าจะมากจะน้อยผมเอาหมด ผมจึงได้รู้คำว่า "อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา" มาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วทุกคนอาจจะนึกว่าเอ๊ะ! แล้วผมมองข้ามคำว่า หมิ่นเงินน้อยตรงไหน ถ้าผมทำงานทุกวิถีทาง เพื่อได้เงินมา ใช่ครับ ผมอาจจะใช้คำว่าหลงระเริงกับรายได้มากกว่า... จนไม่สนใจเงินเล็กเงินน้อย (บางครั้งงานบางงานผมไม่สนใจด้วยซ้ำ) เพราะอีโก้ตัวเอง ผมหลงระเริงกับรายได้นั่นมันเยอะแค่ไหน? ครับผมทำงานงานทุกอย่าง ทำเยอะจนเพื่อนคงไม่ต้องถามผมว่าผมทำอะไรมาบ้าง ถ้าถามผมว่าผมไม่เคยทำงานอะไรบ้าง น่าจะตอบได้ง่ายกว่า (เพราะความจนมันบีบให้ผมทำทุกอย่าง) รายได้หรือเงินเดือนผมไม่เคยเกิน 15,000 บาท จนวันนึงผมมีโอกาสได้ผันตัวเองมาเล่นดนตรีกลางคืน (ชอบเล่นกีต้าร์) ผมเริ่มจากค่าตัว 400 บาท ต่อ 2 ชั่วโมง เพื่อเก็บประสบการณ์ จนพัฒนาตัวเอง และรับเรทค่าตัว อยู่ที่ 500 บาท ต่อ ชั่วโมง (บางคนอาจจะเยอะกว่าผมด้วยซ้ำ) ฟังดูน้อยนะครับ แต่! คืนนึงผมเล่นดนตรี คืนล่ะ 3 ถึง 4 รอบ รายได้ผมไม่รวมทิป จะตกคืนนึง ก็ 1,500-2,000 บาท เดือนนึงๆ ผมมีรายได้เยอะมากๆ ไปคูณเอาเอง นั่นแหละะครับมันทำให้ผมเปลี่ยนไปกับการใช้เงิน (ย้ำว่ารายได้ตอนนั้นเยอะมากสำหรับผม) นั่นแหละะครับ ผมจึงไม่ค่อยจะสนเงินเล็กเงินน้อยอีกเลย เพราะผมคิดว่าผมทำงานไม่กี่ชั่วโมงก็ได้หลักพันบาทแล้ว อย่างเหรียญบาทนี่แทบไม่เคยได้ใช้เพราะไม่อยากเอาติดไปมันหนัก (ทำตัวเหมือนรวย) จะโยนไว้ในรถบ้าง หรือหน้าโต๊ะเครื่องแป้งบ้าง ชีวิตช่วงนั้นจะ กิน เที่ยว อยากทำไรก็ทำ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่เก็บ เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ก็ไปทำงานแป๊ปเดียวก็ได้แล้ว พันถึงสองพันบาท ทำแบบนี้จนเสียนิสัย ไม่เก็บออมเงินแต่อย่างใด จนวันนึงที่ทุกคนได้ทราบกัน ว่าโลกเราเกิดวิกฤตไวรัส โคโรน่า หรือ ไวรัสโควิด-19 ทำให้มีผลกระทบทุกมุมโลก รวมถึงประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบได้เช่นกัน ผมอาศัยอยู่พื้นที่ของจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อันดับแรกคือ ปิดสถานบันเทิง เอาล่ะสิ อาชีพนักดนตรีคนกลางคืออย่างผม รับเต็มๆ ตกงานก่อนเพื่อน เมื่อไม่ได้ทำงานก็ไม่มีเงิน เพราะรับเงินรายวัน แต่ก็คิดว่าคงปิดไม่นานก็กลับมาทำงานได้อีก เงินที่พอมีคงพอใช้พยุงตัวเองไปได้ แต่เหตุการณ์นี้มันรุนแรงและยาวนานไปเรื่อยๆ เงินที่มีอยู่เริ่มหมด ตอนแรกยังพอทำของขายส่งในพื้นที่ได้บ้าง แต่เมื่อสถานะการณ์ ยังไม่ดีขึ้น จังหวัดภูเก็ตได้เริ่มปิดทุกพื้นที่ ปิดตั้งแต่ตัวจังหวัด อำเภอ และตำบล ไล่ลงมาตามลำดับ ของที่เคยส่งได้ก็ไปส่งไม่ได้ ทำไงดีล่ะทีนี้ เงินก็เหลือน้อย คิดหาทางเพื่อหาเงินทุกวิถีทาง ลืมบอกไปผมอยู่กัน 5 คน มีลูกน้อย 2คน แม่และภรรยา นี่แหละปัญหาใหญ่เลย เมื่อนมที่ลูกต้องกินกำลังจะหมด... นี่แหละครับปัญหาใหญ่สำหรับผมคือนมของลูกที่กำลังจะหมดไป ผมจึงคิดว่าเมื่อเราเป็นนักดนตรี สิ่งที่เราจะทำได้ตอนนี้คงเป็นการร้องเพลงออนไลน์ เผื่อใครถูกใจก็ส่งทิปเป็นรางวัลให้บ้าง เพราะของก็ทำส่งได้แล้ว ผมเริ่มร้องเพลงออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก ได้ทิปบ้าง ร้อยสองร้อยบาท บางวันร้องไป สามชั่วโมงไม่ได้สักบาทก็มี ร้องเพลงเสร็จหันกลับมามองหน้าลูกน้ำตาไหลเองโดยไม่รู้ตัว ได้แต่นั่งทบทวนตัวเองว่านี่สินะเมื่อเรามีมากใช้ชีวิตประมาท เพราะคิดว่าทำงานไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินไม่เก็บออม พอวันนึงต้องมานั่งร้องเพลง สามถึงสี่ชั่วโมงไม่ได้สักบาท มันเป็นยังไง ดังนั้นพวกเศษเหรียญบาท ที่ผมไม่สนใจมันเลยมันกลับมีค่ามากมากยมหาศาลเมื่อเวลาที่ผมไม่มีจริงๆ เหตุการณ์วันนี้มันช่างสั่งสอนผมได้สาสมใจยิ่งนัก กับการใช้ชีวิตที่ลืมตัวว่าเมื่อก่อนตัวเราเป็นคนแบบไหน ไม่เห็นคุณค่าของเงินขนาดไหน นี่แหละครับคำว่า "อย่าหมิ่นเงินน้อย" มันจึงกลับมาสั่งสอนผมอย่าใช้ชีวิตที่ลืมตัวอย่าประมาท กับสิ่งที่ได้มาโดยง่าย จึงอยากแชร์ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ขอให้ทุกคนโชคดี เจอกันบทความหน้าจะเป็นเรื่องอะไรติดตามกัน "อย่าหมิ่นเงินน้อย" ที่มาของภาพโดย https://pixabay.com/th รูปภาพปก https://pixabay.com/ รูปที่1. https://pixabay.com/ รูปที่ 3 . https://pixabay.com/ รูปที่ 4. https://pixabay.com/ รูปที่ 5. https://pixabay.com/ รูปที่ 6. https://pixabay.com/ รูปที่ 7. https://pixabay.com/