ครั้งหนึ่ง ณ เขาล้อมหมวก วันแรก เมื่อรู้ว่าจะมีวันหยุดยาว 3 วันติด ในกลุ่มเพื่อนจึงมานั่งสุมหัวกันคิดหาเป้าหมายสำหรับวันหยุดนี้ สถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปและต้องเป็นแบบผจญภัยสนุกๆด้วย อาจจะเหนื่อยหน่อย ลำบากหน่อยแต่ก็พร้อมลุย ยิ่งว่างกันหลายคน น่าจะเป็นทริปที่สนุก ไม่มีเครียดแน่นอน สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่าไปปีนเขาล้อมหมวก ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั่นเอง พวกเราเลือกที่จะเดินทางกับรถไฟเพราะมันสะดวก ปลอดภัย และราคาเป็นมิตรที่สุด รอขึ้นรถไฟประมาณเที่ยงกว่า รอไม่นานก็ได้ขึ้นสมใจ โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะไม่หนาแน่นเท่าไหร่ จึงทำให้สามารถเดินเล่นไปมาได้หากเกิดอาการเมื่อย เพราะระยะทางจากยะลาไปถึงประจวบคีรีขันธ์ 700 กิโลเมตรกว่า และการนั่งรถไฟจะไม่เหมาะกับการใส่หูฟังฟังเพลง เพราะเสียงรถไฟมันก็ดังอยู่แล้วและอีกอย่างเรามากันหลายคน คงไม่มีเวลาได้นั่งพักแน่ ๆ คงได้คุยได้หัวเราะจนปากเมื่อยเลยละ เมื่อหมดแรงก็จะหลับไปเอง วันที่สอง รู้สึกตัวอีกครั้งตอนตี5ของวันใหม่ ด้วยความที่ไม่เคยมาจึงทำให้ไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง แล้วมีผู้โดยสารบนรถไฟคนหนึ่งบอกด้วยความหวังดีว่าสถานีต่อไปนี่แหละ ดังนั้นพวกเราจึงเตรียมตัวเตรียมกระเป๋า รถไฟจอดเมื่อไหร่คือพร้อมที่จะลง แล้วสักพักรถไฟก็หยุดจริงๆ พวกเราก็รีบลงทันที แต่เมื่อลงกันเรียบร้อยกลับหาป้ายสถานีประจวบคีรีขันธ์ไม่เจอ ด้วยความสงสัยเลยวิ่งไปถามพี่เจ้าหน้าที่ แล้วก็ได้คำตอบว่ารถไฟหยุดเพราะจะมีรถไฟสวนทางมา เท่านั้นแหละพวกเรารีบกลับไปขึ้นรถไฟอีกครั้งโชคดีที่ทันกับรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่ออกจากสถานี จากนั้นก็มานั่งขำกลิ้งกับเหตุการณ์เมื่อกี้อย่างสนุกสนาน ผ่านไปครึ่งชั่วโมง คราวนี้ถึงของจริงเพราะเห็นป้ายสถานีชัดเจนจึงพากันเดินลงอย่างมั่นใจ ตอนนี้ก็ยังไม่สว่างเท่าที่ควรแต่อีกไม่นานก็จะสว่างกว่านี้แน่นอน จากนั้นพวกเราแบ่งเป็น2กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ไปหาที่พัก กลุ่มที่ 2 ไปหารถเช่า เนื่องจากเวลานี้ส่วนใหญ่ร้านจะยังไม่เปิดแต่ก็พยายามหา เมื่อได้ที่พักและได้รถเช่าเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาไปหาเขากัน เมื่อไปถึงที่เขาล้อมหมวกจะมีพี่ ๆ เจ้าหน้าที่รอรับลงทะเบียน ใกล้ ๆ กันนั้นก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่มารอปีนเขาเช่นกัน ซึ่งเขาจะเปิดให้ขึ้นตอน 7 โมงเช้า ส่วนเวลาที่เหลือจึงเหมาะสมที่จะกินอาหารเช้าที่แวะซื้อระหว่างทาง สักพักก็ได้เวลาไปปีนป่ายสักที เย้ ๆ ตื่นเต้นมาก เส้นทางในช่วงแรกจะเป็นบันไดเดินได้สบาย ๆ พูดคุยพลาง ๆ หยุดดูวิวหยุดถ่ายรูปได้อย่างสบายใจ เดินไปสักพักเจอทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่างหลากหลาย บ่งบอกถึงความเป็นที่นิยมของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างทางมีทั้งจุดที่ต้องไต่เชือกบ้าง มีเป็นทางชันบ้าง และก้อนหินที่นี่จะแหลมคมสามารถบาดมืดเรียกเลือดได้อย่างง่าย ๆ และดีที่พวกเราได้ไปศึกษาข้อมูลก่อนมาจึงเลือกที่จะใส่กางเกงขายาว และพาถุงมือมาด้วยจึงทำให้เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ระหว่างทางมีแวะพักบ่อยมาก ด้วยความที่เหนื่อยประกอบกับเส้นทางที่ชัน แต่ก็ได้พักตามที่อยากพัก หรือใครที่รู้สึกไปต่อไม่ไหวก็สามารถแจ้งพี่เจ้าหน้าที่เขาได้ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกตลอดทาง และสุดท้ายก็มาถึงจุดสูงสุดของเขาล้อมหมวกแห่งนี้ แน่นอนว่ามันสวยมาก หวาดเสียวมากเช่นกัน และผู้คนรอถ่ายรูปก็เยอะเช่นกัน แต่จุดถ่ายรูปมีหลายจุดให้เลือกถ่าย ถ่ายจุดนี้รู้สึกยังไม่ค่อยพอใจก็สามารถไปถ่ายจุดอื่น ๆ ได้ เมื่อถ่ายรูปอย่างจุใจและได้พักกายจนหายเหนื่อยก็ถึงเวลาที่จะต้องไปต่อ นั่นคือไต่เขาลงนั่นเอง แน่นอนว่าขาลงมีเสียวกว่าขาขึ้น แต่ถึงยังไงก็ต้องไปต่อ ขากลับมีความสงสัยว่าทำไมเส้นทางยาวไกลเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึงสักที ยิ่งได้เจอบันไดในตอนใกล้ถึง น้ำตาจะไหลปวดเมื่อยตามตัวหมดแล้ว บันไดขาลงทรมานกายสุดๆละ แต่ในที่สุดก็ถึงสักที จากนั้นแต่ละคนพร้อมใจทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรงบนหญ้าอย่างสามัคคี จากนั้นก็กลับเข้าที่พักแล้วนอนหลับยาว ๆ ตื่นมาอีกทีในตอนเย็น ทั้งกายและใจพร้อมที่จะออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ กันต่อ ไปโลด!!! วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งมีถนนคนเดินใกล้ ๆ นี้ พวกเราจึงพากันเดินพร้อมกันนั้นก็สำรวจเส้นทางว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง แล้วก็ได้เจอร้านเช่าจักรยานราคากันเองจึงก็จัดกันไปคนละคัน จากนั้นก็มุ่งไปถนนคนเดินต่อ ถนนคนเดินจะอยู่ใกล้กับสะพานปลาหรือสะพานสราญวิถี ซึ่งบรรยากาศในยามเย็นน่าอยู่มาก ลมเย็นๆเพราะคลื่นจากน้ำเบา ๆ ก็ทำให้ผ่อนคลายไปมาก วันนี้ผู้คนก็จะหนาแน่นและคึกคักมาก มีอาหารมากมายและแปลกหน้าแปลกตารอให้ชิม มีของมาตั้งขายอย่างหลากหลายน่าเลือกเต็มไปหมด ผู้คนเมืองประจวบฯก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจดีและเป็นมิตรมาก ในเรื่องกฏจราจรก็เคร่งครัดประทับใจคนที่นี่มาก เดินงานถนนคนเดิมจนถึง4ทุ่ม กินทุกอย่างที่อยากกินและน่ากิน จนสักพักก็ได้เวลากลับที่พักแล้ว ในคืนนี้ยังไม่มีใครง่วงนอน ด้วยความที่เพิ่งนอนกันตอนบ่าย จึงเป็นเวลาของการพูดคุยทั้งมีสาระและไม่มีสาระ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเที่ยงคืนแล้ว จึงพากันเข้านอนเพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้า ๆ ด้วยความรู้สึกสดใส ราตรีสวัสดิ์หมดไปอีกวัน วันที่สาม วันนี้ตื่นเช้าตรู่ออกมาปั่นจักรยานริมทะเล ตั้งใจจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานปลาอยากรู้ว่าจะสวยขนาดไหน ระหว่างทางก็เจอผู้คนหลากหลายมาออกกำลังกาย มีเดินบ้าง วิ่งบ้าง เล่นเครื่องออกกำลังกายบ้าง อากาศเช้าที่นี่สดชื่นมาก เมื่อดื่มด่ำสิ่งที่ดีต่อใจอย่างเต็มอิ่มแล้ว เสียงท้องก็ประท้วงออกมาว่าหิว จึงปั่นจักรยานไปหาข้าวกินโลด!!! เมื่อกินมื้อเช้าเรียบร้อยและอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสมบูรณ์ก็ได้เวลาออกไปแว้นรอบเมืองกัน โดยมียานพาหนะที่ไม่ต้องเติมน้ำมันปั่นไปได้ไกลแค่ไหนก็ได้เท่าที่แรงขาจะไหว สถานที่แรกของวันนี้คือ เขาช่องกระจก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีบันไดคอนกรีตให้พิชิต 396 ขั้น นอกจากนี้ยังมีเจ้าถิ่นอย่างลิงอีกประมาณร้อยตัวรอต้อนรับผู้มาเยือน ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งแต่สำหรับคนที่กลัวลิงอย่างพวกเราคงอยู่ได้ไม่นานแน่ แต่ก็ต้องไปลองพิสูจน์ดู เมื่อขึ้นไปด้านบนจะสามารถเห็นวิว 360 องศาคือสามารถเห็นทะเลทั้ง 3 อ่าวคือ อ่าวมะนาว อ่าวน้อย อ่าวประจวบ และพวกเราก็อยู่ข้างบนได้ไม่นานจริง ๆ จากนั้นก็ลงมาข้างล่าง แล้วเลือกที่จะปั่นไปรอบเมืองแทน เจอตรงไหนที่สวยที่ชอบก็แวะถ่ายรูป ปั่นไปเรื่อย ๆ ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็จะเที่ยงแล้ว จากนั้นจึงเปลี่ยนเส้นทางปั่นไปอ่าวมะนาวกันต่อ ที่อ่าวมะนาวบรรยากาศก็จะคึกคักหน่อยมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่างหนาแน่น มีร้านค้าหลากหลายให้เลือก ระหว่างทางก่อนที่จะมาถึงอ่าวมะนาวจะต้องผ่านกองบิน 5 เพราะอ่าวมะนาวอยู่ในเขตทหาร และเส้นทางการปั่นก็ดีมาก ๆ มีลมเย็นๆโต้กลับมาตลอดทางเมื่อเราปั่นฝ่าอากาศ จึงทำให้การปั่นจักรยานในครั้งนี้ไม่เหนื่อยเลย กลับรู้สึกสบายและสงบ อยากให้เส้นทางนี้ยืดยาวให้ไกลอีกจะได้ปั่นให้นานกว่านี้ ประมาณบ่ายสองกว่าก็ได้เวลาปั่นกลับไปคืนจักรยานให้ที่ร้านเช่า จากนั้นไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่พัก เพราะได้เช็กเอาท์ไว้แล้ว จากนั้นเหมารถสามล้อพาไปส่งที่สถานีรถไฟประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขึ้นรถไฟตอนเย็นๆอีก แต่เลือกที่จะไปนั่งเล่นที่สถานีแทน ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ถึงเวลาขึ้นรถไฟสักที วันนี้บนรถไฟผู้คนหนาแน่นมาก จึงทำให้ไม่กล้าหลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ อย่างนั้นทั้งคืน และในช่วงเช้าสาย ๆ ของวันใหม่ก็ถึงยะลาโดยสวัสดิภาพ และสุดท้ายการออกเดินทางก็ต้องมีวันจบการเดินทาง มาจากไหนก็ต้องกลับไปยังที่มา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้กลับไปตัวเปล่า แต่ยังพารูปถ่ายที่มีทั้งผู้คนและสถานที่ต่างๆกลับไปด้วย มีแค่ภาพถ่ายที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนอกจากว่าจะถูกทำลาย นอกจากนี้ยังมีความทรงจำดี ๆ และประสบการณ์ที่น่าจดจำซึ่งเป็นนามธรรมพากลับมาด้วย ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกคนที่มาใช้เวลาร่วมกันในช่วงหนึ่งของชีวิต ขอบคุณคนประจวบฯที่ทำให้ยังคงประทับใจในความเป็นมิตร หวังว่าถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปเยือนเมืองประจวบฯอีกครั้งในสักวัน