" ปกติลุงเก็บคนละสี่สิบบาท หนูให้ลุงกี่บาทล่ะ " " หนูขอสองคนหกสิบได้มั้ยคะ " " ได้ๆลุงให้ ขึ้นมาเลย " บทสนทนานี้ถือเป็นการเริ่มต้นทริปประจวบคีรีขันธ์ที่ดีของฉันกับเพื่อนทีเดียว จุดหมายแรกของเราคือโรงแรมยุติชัยเป็นที่ที่เราจะพักกันในคืนนี้ ระหว่างทางถนนดูโล่งมากแทบไม่มีรถขับสวนผ่าน ตัวฉันซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางจึงได้มีโอกาสคุยกับลุงคนขับ ลุงเล่าว่ามีลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่บางแสน พอเห็นฉันกับเพื่อนเลยนึกถึงลูกสาวจึงยอมลดราคาให้ นั่นถือว่าเป็นโชคดีของเรา เพราะถ้าหากลุงมีลูกชายฉันกับเพื่อนอาจต้องจ่ายค่าวินแปดสิบบาทไปแล้วก็ได้ รถมอเตอร์ไซค์ที่มีผู้โดยสารสามคนถูกจอดลงหน้าอาคารสองชั้นสไตล์โคโลเนียล มีป้ายไฟตัวอักษรสีแดงเขียนว่า “โรงแรมยุติชัย” ทำให้เราสองคนรู้ว่ามีที่นอนแล้วแน่ๆในคืนนี้ เราขอบคุณลุงก่อนจะเข้าไปเช็คอินในโรงแรม ป้าเจ้าของโรงแรมบอกว่าวันนี้เป็นวันศุกร์มีถนนคนเดิน ซึ่งปกติจะมีทุกวันศุกร์กับเสาร์ ประจวบเหมาะกับกระเพาะในท้องเริ่มจะเรียกร้องรอย่อยมื้อเย็นแล้ว เราสองคนจึงรีบเก็บข้าวของและถามทางไปทันที ตลาดถนนคนเดินอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก เดินเท้าไปประมาณห้านาทีก็เริ่มเห็นแสงไฟจากใต้ร่มร้านค้าเรียงอยู่เป็นแถว ถนนคนเดินนี้ตั้งอยู่ติดกับสะพานสราญวิถีหรือรู้จักกันในชื่อสะพานปลาอ่าวประจวบ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยใช้เป็นสะพานปลาสำหรับการประมงแต่ถูกยกเลิกการใช้งานและซ่อมแซมใหม่เพื่อการท่องเที่ยว โซนแรกที่เราเดินผ่านเป็นโซนขายอาหารทั้งคาวหวาน มีคนเดินพลุกพล่านตัวเบียดกันไหล่ชนไหล่แต่พอพ้นจุดขายของกินไปก็เริ่มเดินง่ายขึ้น สิ่งที่สังเกตเห็นได้จากโซนอาหารคคือมีการใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นภาชนะใส่อาหาร แม่ค้าบอกว่าที่นี่เริ่มตระหนักถึงเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ร้านค้าหลายๆร้านจึงเริ่มมีการปรับเปลี่ยนนำวัสดุธรรมชาติมาใช้แทน บรรยากาศในตลาดคึกคักเหมือนเหมือนตลาดนัดทั่วไปมีพ่อค้าแม่ขายพูดแซวกันไปมา ช่วยสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับบรรดาคนเดินผ่าน ความรู้สึกตอนเดินซื้อของนั้นเหมือนเราไม่ได้มาเที่ยวกันแต่แค่มาเปลี่ยนบรรยากาศย้ายที่กินที่นอนก็เท่านั้น ตลาดยาวกว่าที่คิดมากแต่เราสองคนก็เดินมาจนสุดทาง เราปลีกตัวจากผู้คนในตลาดมาหามุมสงบริมถนนหน้าหาด แม้จะอยู่ในระยะใกล้กันแต่กลับรู้สึกถึงความแตกต่างในพื้นที่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวนี้ มีหลายคนมานั่งพักกินอาหาร บางคนนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งมองทะเลสีมืดที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด แม้เสียงดนตรีเสียงแม่ค้าจากตลาดจะดังมาให้ได้ยิน แต่ฉันไม่รู้สึกว่าเธอถูกรบกวนเลย ราวกับว่าเธอกำลังเข้าสู่โลกส่วนตัวแม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย จุดที่สะดุดตาเราทั้งสองคนคือจุดทิ้งขยะที่มีการแยกขยะอย่างดีไม่ใช่แค่ขยะแห้งหรือเปียก แต่แยกกระทั่งหลอด ไม้เสียบลูกชิ้น น้ำแข็ง เศษอาหาร และช้อนส้อมพลาสติก เราเดินไปคุยกับพี่ที่ยืนคุมจุดแยกขยะอยู่จนรู้ว่าพี่เขาเป็นจิตอาสาคอยแนะนำให้คนแยกขยะให้ถูก พอตลาดวายก็นำขยะที่รีไซเคิลได้ไปทำความสะอาดเก็บไว้ที่เทศบาล และถูกแบ่งไปให้กลุ่มแม่บ้านนำไปสร้างมูลค่า บางส่วนก็มีโรงเรียนมารับไปให้นักเรียนทำงานประดิษฐ์ มีการบริจาคหลอดให้กับโรงพยาบาลเพื่อทำเป็นหมอนให้กับผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นที่แรกที่ทำโครงการแยกขยะแบบนี้ เราสองคนชวนพี่จิตอาสาคุยอยู่พักใหญ่จนรู้ว่าชื่อพี่หมาย เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแต่มาทำงานที่ประจวบและได้แฟนอยู่ที่นี่ พี่หมายบอกว่าประจวบเป็นเมืองสงบ แม้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวแต่ก็ไม่ได้มีคนเยอะมากจนวุ่นวาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง ฉันก็เชื่อแบบนั้นเพราะถนนที่นี่ดูโล่งมากผิดจากอำเภอเมืองทั่วไปที่ปกติจะมีรถสัญจรไปมา พี่หมายนั่งอยู่คนเดียวแต่ดูไม่เหงาเลย แม้จะเป็นงานจิตอาสาที่ดูน่าเบื่อแต่รอยยิ้มบนหน้าพี่หมายบอกเราชัดเจนดีว่ากำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำ เราสองคนเดินตลาดกันต่อจนได้อาหารติดไม้ติดมือมาและตั้งใจจะไปนั่งกินข้าวรับลมหาดประจวบบนสะพานสราญวิถี สะพานนี้ยาวพอสมควรและมีที่นั่งมากพอที่จะให้ครอบครัวใหญ่มานั่งกินข้าวด้วยกัน มีเด็กเล็กวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ทั้งนั่งและยืนคุยกันตรงมุมสะพานมุมหนึ่ง และเราก็จับจองที่นั่งเพื่อให้กล้ามเนื้อขาที่ทำงานอย่างหนักได้พักผ่อนเสียที บรรยากาศบนสะพานเย็นสบาย หันไปทางทิศเหนือมองเห็นวัดเขาช่องกระจกที่ภูเขาถูกกลืนไปกับสีดำของท้องฟ้าเห็นเพียงตัววัดเลือนลางเด่นขึ้นมาในความมืดราวกับวิมานลอยอยู่กลางอากาศ มีลมพัดโชยมาอ่อนๆ แสงสีส้มจากเสาไฟบนสะพานช่วยทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกขึ้นทันที ความสวยงามบนสะพานยามดึกนี้ทำเราแทบไม่อยากกลับโรงแรมเลยทีเดียว วันรุ่งขึ้นเรารีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สะพาน เราออกจากโรงแรมเวลาประมาณหกโมงเช้าพอมาถึงพระอาทิตย์ก็ลอยอยู่พ้นขอบน้ำเสียแล้ว แต่ก็ทันเห็นความสวยงามของแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผืนน้ำและย้อมสะพานสราญวิถีจนกลายเป็นสีส้มไปทั่วสะพาน แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่แต่ก็มีคนอยู่มาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มาออกกำลังกายตอนเช้า บางคนกำลังวิ่งอยู่ก็ยังต้องหยุดชื่นชมความงามและถ่ายรูปเก็บไว้ แสงสว่างในตอนเช้าทำให้มองเห็นเขาช่องกระจกชัดขึ้นกว่าเมื่อคืนจากที่ถูกกลืนไปด้วยความมืดจนตอนนี้วิมานกลางอากาศกลายเป็นวิมานสวรรค์บนเขาสูงแล้ว บรรยากาศตอนเช้าบนสะพานดีไม่แพ้ตอนกลางคืนเลย และสะพานก็สะอาดมากแทบจะไม่มีขยะให้เห็น ก่อนกลับฉันเห็นคุณตาคุณยายคู่หนึ่งพาหลานมาเก็บขยะบนสะพานเป็นภาพที่เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ ผู้คนที่อยู่บนสะพานแลดูมีความสุขสมกับชื่อสะพานสราญวิถีที่มีความหมายว่าสะพานแห่งความสุขสำราญ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเพียงพื้นที่แคบๆในแผนที่ประเทศไทยแต่จิตใจผู้คนกลับกว้างขวาง ทั้งบรรยากาศและผู้คนที่ประจวบสร้างความประทับใจให้ฉันในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง นับตั้งแต่ที่ได้เจอลุงวินผู้ใจดีจนถึงป้าเจ้าของโรงแรมที่ช่วยหารถกลับบ้านให้ฉันในวันสุดท้าย ฉันนึกถึงคำพูดของพี่หมายเมื่อคืนที่ว่า “พี่เป็นคนอยุธยา แต่พี่ตกหลุมรักที่นี่” ตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกของพี่หมายแล้วและคิดว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักประจวบด้วยเช่นกัน ถ้ามีโอกาสบวกกับมีเงินในกระเป๋าฉันจะกลับมาประจวบอีกครั้งแต่ไม่ได้มาในฐานะนักท่องเที่ยว ฉันจะมาในฐานะคนพักผ่อน จะอยู่เหมือนเป็นถิ่นของตัวเองทำตัวกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมและทักทายผู้คน บางทีการที่มีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องพยายามไขว่คว้าหาความสุขให้วุ่นวาย ความสุขเล็กๆก็เกิดขึ้นได้เพียงแค่ได้รับน้ำใจจากคนรอบข้าง ได้สัมผัสความงามของธรรมชาติ ได้ปลดปล่อยความคิดและใช้เวลาอยู่กับตัวเอง แล้วเราจะเชื่อประโยคที่ว่า “ความสุขแท้เกิดจากความสงบ ส่วนความสุขที่เกิดจากความวุ่นวายเป็นเพียงความสนุก หาใช่ความสุขแท้” ข้อมูลที่พัก โรงแรมยุติชัย ที่อยู่ : 115 ถ. ก้องเกียรติ ต. ประจวบคีรีขันธ์ อ. เมืองประจวบคีรีขันธ์ จ. ประจวบคีรีขันธ์ 77000 โทรศัพท์ : 0-3261-1055 ปล.ทางโรงแรมมีบริการเช่ารถจักรยานกับมอเตอร์ไซค์ด้วยนะคะ สำหรับแขกที่ไม่ได้นำรถส่วนตัวมา