หลังจากขึ้นรถไฟจากหาดใหญ่เวลา 17.00 น. เราก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟชุมพรเวลาตี 1 กว่า ๆ และเดินทางไปยังระนองทันที พ่อของเพื่อนมารอรับ ณ จุดนั้นเกรงใจพ่อมาก แต่พ่อก็ใจดีมาก ๆ เช่นกัน เราใช้เวลาเดินทางไประนองประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็แวะเซเว่นหาของกินไปด้วย เดินทางเรื่อย ๆ อยากบอกว่า อากาศเมืองระนองตอนหัวรุ่งคือหนาวมาก หนาวเหมือนอยู่ภาคเหนือ หนาวแบบควันออกปากอะ ตอนนั่งรถพ่อก็ชวนคุย เล่าเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับจังหวัดระนอง เรื่องตอนพ่อเป็นวัยรุ่นต่าง ๆ พ่อบอกว่า “เที่ยวตอนไหนก็ไม่สนุกเท่าตอนวัยรุ่น แต่วัยรุ่นเป็นวัยที่ยังไม่มีทุนมากพอในการเที่ยว การเที่ยวตามงบที่กำหนด อาจทำให้ความสนุกบางอย่างหายไป เดี๋ยวพ่อเป็นเจ้ามือพาเที่ยวเอง” ตอนนั้นคือหลากหลายความรู้สึกเข้ามา แต่หลัก ๆ เลยคือตื้นตันมาก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่พ่อ Treat เพื่อนลูกเหมือนเป็นลูกของพ่ออีกคน (ประทับใจ ><) อะไปไกลละ กลับมาเรื่องเที่ยวต่อ เราถึงบ้านเพื่อนประมาณตี 4 เกือบ ๆ ตี 5 พ่อบอกว่าให้เก็บสัมภาระ จัดการตัวเองกันให้เรียบร้อย(อาบน้ำ แต่งตัว) เดี๋ยวจะพาไปดูทะเลหมอก กับกินโรตีเป็นมื้อเช้า พร้อมกำชับว่า “โรตีร้านนี้ ถ้ามาแล้วไม่ได้กิน ถือว่าไม่ถึงระนอง” ทางเราก็ไม่ได้อยากกินเท่าไหร่ แต่ก็รีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว 555555 กว่าทุกคนจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เกือบ 7 โมงเช้า ก็เลยบอกพ่อว่า ไปกินโรตีเลยก็ได้ (ก็ไม่ได้เห็นแก่กินเท่าไหร่จริง ๆ) แต่พ่อบอกว่า ทะเลหมอกมันยังอาจจะยังมีอยู่ เดี๋ยวพ่อจะพาขึ้นไปดู (เขียนมาแบบนี้หลายคนคงคิดว่าเดิน เปล่าจ้ะ นั่งรถไปต่างหาก 55555) ระหว่างนั่งรถขึ้นไปดูเราก็ตื่นเต้นตลอดเวลา จนขึ้นไปถึงจุดชมวิวสูงสุด ก็ต้องอุทานออกมาว่า แม่เจ้า อย่างกับสวรรค์ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือ หมอกสีขาว(หรือเมฆ สักอย่างแหละ) ลอยอยู่เป็นทะเลปกคลุมเหนือยอดไม้ เห็นแล้วอยากกระโดดลงไปให้ปุยขาว ๆ นั้นโอบกอดเหลือเกิน แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า นี่คือความจริง โดดไปคือตาย 5555 เหนือสิ่งอื่นใดคือวิวตรงหน้าเห็นไกลไปถึงภูเขาที่กั้นระหว่างไทยกับพม่าประเทศเพื่อนบ้านของเรานั่นเอง จุดชมวิวเขาฝาชี นี่ขนาดไปสายแล้วนะ ทะเลหมอกยังหนาตึบ ส่วนทิวเขาที่เห็นในภาพลาง ๆ ไกล ๆ เป็นทิวเขาในประเทศเพื่อนบ้านเองจ้า ถ้าไปเห็นด้วยตาตัวเอง จะเข้าใจคำว่าสุดลูกหูลูกตาอย่างถ่องแท้ เมื่อชมทะเลหมอกจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปยังหัวรถจักร ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งหนึ่ง น้อยคนนักที่จะรู้ว่า อดีตเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระนองก็เคยมีเส้นทางรถไฟเช่นกัน พ่อเล่าให้ฟังว่า หัวรถจักรที่ตั้งเป็นอนุสรณ์ที่คนเห็นในปัจจุบันไม่ใช่ของจริง เพราะของจริงจมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งพ่อก็พาเราไปดูและเล่าให้ฟัง (ณ จุดนี้คือฟังพ่อเล่าเพลินจนลืมถ่ายรูป )เหตุการณ์ค่อนข้างหดหู่พอสมควร พ่อเลยตัดบทพาไปกินโรตีเจ้าดังแห่งเมืองระนอง มีชื่อร้านว่า “โรตีนิสรา” อยากบอกว่าอร่อยมาก อร่อยจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดใด ๆ ได้ ต้องไปลองเอง ขอบอกเลยว่า ใครมีโอกาสไประนอง ต้องห้ามพลาด โรตีนิสรา (เราขอแนะนำ) โรตีนิสรา มื้อเช้าแสนอร่อย ทานคู่กับชาเย็น คือที่สุดแห่งความฟิน เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเข้าวัด ตามประสาคนใจบุญกันบ้าง คิคิ ><&nbsp; วัดที่เราไปไหว้พระทำบุญกันนี้ ชื่อว่า “วัดหงาว” บริเวณวัดค่อนข้างเงียบ สงบ มีบึงใหญ่ ไว้ให้อาหารปลา (ปลาเยอะ และตัวใหญ่มาก ๆ) นี่คือโบสถ์วัดหงาว งดงามมาก ถ้ามองอีกด้านจะเห็นเป็นโบสถ์ที่มีแบ็คกราวน์เป็นภูเขาสีเขียว สวยเหมือนภาพวาดมาก ๆ นี่ไม่ได้อวยเลย หลังจากให้อาหารปลากันพอหอมปากหอมคอ พ่อก็ชวนขึ้นไปชมวิวบนภูเขาวัดหงาว (ภูหงาว) ตอนขึ้นบันไดก็หอบนิดหน่อย แต่พอเห็นวิวบนภูหงาวบวกกับลมพัดกระแทกหน้าเบา ๆ ความเหนื่อยทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง (ขอบอกอีกนิดว่าวิวข้างบนเห็นไกลไปถึงภูเขาหญ้าเชียวแหละ //จริง ๆ มันอยู่ไม่ไกลกัน 55555) หลังจากชมวิว ถ่ายรูปเล่นกันอยู่พอสมควร ก็ได้เวลาทานมื้อเที่ยงแล้วจ้า บันไดขึ้นภูหงาว ก็ไม่สูงเท่าไหร่ร้อยกว่าขั้น จิ๊บ ๆ จุดชมวิวภูหงาว ก็สวยพอที่จะทำให้เหนื่อยได้อยู่นะ อิอิ >< สำหรับมื้อเที่ยงของเราวันนี้ พ่อพาไปกินที่ “บ้านไร่ไออรุณ” เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองระนอง มาที่นี่นอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังอิ่มตา และอิ่มใจอีกด้วย เพราะว่ามองไปทางไหนก็รู้สึกสบายหู สบายตา (เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้ทรู) นี่คือ โต๊ะอาหาร แต่ละโต๊ะจะมีกระเช้า หรือตะกร้าดอกไม้ที่จัดแจงไว้แตกต่างกัน แต่สวยงามลงตัวมาก เราชอบสุดคือป้ายกระดานจิ๋ว ที่เขียนบอกว่าตอนนี้ในไร่กำลังทำอะไรอยู่บ้าง มื้อเที่ยงของพวกเรา คือ ขนมจีนน้ำยา เผ็ดร้อนตามสไตล์คนใต้ กินแล้วจะร้องว่า "หรอยแรง" ปล.ชอบอีกอย่างนึง คือ หลอดดูด เขาไม่ใช้หลอดพลาสติกนะจ๊ะ เหมือนเดิมจ้ะ ทานเสร็จ นั่งพักผ่อน เดินเล่น ถ่ายรูปต่าง ๆ ก็สมควรแก่เวลา พ่อพาไปทัวร์ต่อยังแลนด์มาร์กถัดไป นั่นคือ “ภูเขาหญ้า” (ไปถึงก็คือ เพลงของเจ้านายลอยมา 55555) มองดี ๆ ภูเขาหญ้าก็คล้าย ๆ ภูเขาในเรื่องเทเลทับบี้เหมือนกันนะ จริง ๆ ภูเขาหญ้าก็ไม่ได้มีอะไรมาก พ่อปล่อยให้เราวิ่งเล่น (เหมือนเด็กไปป้ะ 5555) เดินขึ้นภูเขาหญ้าเพื่อไปชมวิว ถ่ายรูปต่าง ๆ ซึ่งก็คล้าย ๆ กับวิวบนภูหงาว สิ่งหนึ่งที่มองแล้วรู้สึกสบายใจตอนชมวิวก็คือ มองไปทางไหนก็ยังเห็นทิวเขาสีเขียว ในความรู้สึกของเรา ระนองเป็นเมืองที่ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์มากนะ ซึ่งมันหายากแล้วอะ เมืองที่มีสถานที่เที่ยวสวย หลากหลาย มีการพัฒนาไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังรักษาความสมดุลระหว่างความเป็นเมือง กับความเป็นธรรมชาติได้ดีทีเดียว ระหว่างทางขึ้นที่ค่อนข้างชัน เราก็ยังแวะถ่ายรูปดอกไม้ นี่แหละ ปลายทาง ไม่สำคัญเท่าเรื่องราวระหว่างทาง (เฉียบ) ด้วยความบ้าบิ่น ขึ้นชมวิวบนภูเขาหญ้าตอนบ่ายสาม ลงมาก็เหงื่อไหลซก ๆ อะดิ พ่อเลยถือโอกาสพาไปเล่นน้ำ ทางเราเลยขอให้พ่อพาไปเล่นน้ำตก แต่พ่อบอกว่าน้ำตกที่ระนองจะอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ มีเวลาเปิด-ปิดที่เป็นทางการ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเองนะจ๊ะ ห้ามโวยวาย (บอกตัวเอง 5555) พ่อเลยพาไปที่บ่อน้ำร้อนรักษะวารินแทน พอถึงตอนนี้ด้วยความที่ทั้งกล้อง ทั้งโทรศัพท์ ถูกใช้งานมาอย่างหนักหน่วง และแบตเตอรี่ก็ดันมาหมดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เราจึงอดเก็บภาพในส่วนนี้ (แอบเสียดายนิดหน่อย) แต่การที่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านั้น ก็ทำให้เราได้ซึมซับบรรยากาศ และสนใจกับสิ่งที่เป็นความจริงตรงหน้ามากขึ้น ขณะเดียวกันร่างกายก็ได้ผ่อนคลายจากการแช่น้ำร้อน สมองก็เริ่มบันทึกเรื่องราวเป็นความทรงจำดี ๆ ลงในก้นบึ้งของหัวใจ เราใช้เวลาที่บ่อน้ำร้อนรักษะวารินประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากแช่น้ำร้อนเสร็จ ไปล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปทำอาหารเย็นกินกันที่บ้านของเพื่อน บรรยากาศก็เป็นไปอย่างครึกครื้น สนุกสนาน อบอวลไปด้วยความอบอุ่น และเต็มไปด้วยวามสุข เมื่อสังสรรค์จนถึงเวลาอันสมควร ทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ บันทึกการเดินทางหน้าใหม่ กำลังรอให้เราจรดปลายปากกาแห่งความทรงจำ เขียนมันขึ้นมาอีกครั้ง... ขอลาไปด้วยภาพ ดอกหญ้า บนภูเขาหญ้า "ดอกหญ้านี้ถ้าอยู่ข้างทาง หลายคนเลือกจะมองข้าม แต่ยามที่ดอกหญ้านี้อยู่บนภูเขาหญ้า ผู้คนทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมา ล้วนอยากถ่ายรูปกับมัน"