หนีเที่ยว “เกาะหลีเป๊ะ” การท่องเที่ยวนี้เดินขึ้นตอนปี 2018 แต่ด้วย ตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่โควิดมาเข้ามาสร้างความรำคาญใจ และทำลายแผนการที่วางไว้สำหรับครึ่งปีแรกไปจนหมดสิ้น และดูเหมือนคงอยู่กับเราไปจนถึงสิ้นปี แพลนเที่ยว ที่เคยวางไว้ ล้มสลาย ต้องนอนอดอู้ ดูซีรีย์อยู่ที่บ้าน ในช่วงที่ต้องกักตัวเพื่อป้องกันตัวเองจากโควิดตัวร้าย เราใช้เวลานี้เพื่อเขียนบทความการท่องเที่ยวสำหรับคนที่สนใจ หรือกำลังมีแพลนว่าจะไปเที่ยวหลังหมดโควิด บทความนี้เป็นบทความแรกของเรา ยังไงเป็นกำลังใจให้ด้วยน้า มาเริ่มกันเลย >>> เกาะหลี่เป๊ะ <<< เราไปเดินงาน “ไทยเที่ยวไทยครั้งที่ 46 ช่วงเดือน มีนาคม 2018 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” หลังจากที่เราได้พิจารณาและเดินดูหลายเจ้ามาก (เพราะในงานมีหลายบริษัททัวร์มากมีแต่ที่น่าสนใจ แล้วแต่สถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ) จากที่ได้ไตร่ตรองบวกกับเหนื่อยเดินแล้ว เรากับเพื่อนตัดสินใจซื้อแพ็คเกจทัวร์พร้อมที่พักกับบริษัท ซีฮาร์ททัวร์ (sea heart tour) แพ็คเกจ : 3 วัน 2 คืน ในราคาคนละ 3,900 บาท พักที่โรงแรม Varin Beach Resort ห้อง Air standard room ฟรี speed boat เดินทางไปกลับเกาะหลี่เป๊ะ ทัวร์ดำน้ำดูปะการังโซนในแบบ join group (คือมีคนอื่นไปด้วย) อาหาร 3 มื้อ / ประกันภัย ฟรี รถรับ-ส่ง สนามบินหรือสถานีรถไฟหาดใหญj พนักงานแนะนำดีมาก บริการดีพูดเพราะ ใจดี เราไปกับเพื่อน 2 คน จองทัวร์ 500 บาท สามารถเดินทางวันไหนก็ได้ หรือ จะจองวันเวลาไปเลยจะดีกว่า เพราะว่าราคาอาจเปลี่ยนไปตามช่วงเทศกาล หรือ ฤดูกาล เราเดินทางหน้าฝน ปี 2018 แน่นอน มันเลยถูก (คิดว่านะ) เราได้แค่หวังว่า มันจะไม่มีมรสุมเข้าวันที่เราไปหรอกนะ 5555+ หลังจากทำการจอง พร้อมโอนเงินเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวไปเที่ยวเลยจ้า จองตั๋วรถไฟ >> สถานีรถไฟหัวลำโพง ก่อนวันเดินทาง 15 วันเราไปสถานทีหัวลำโพงเพื่อทำการจองตั๋วรถไฟ แนะนำสำหรับใครที่จะเดินทางผ่านรถไฟเพราะมันเต็มเร็วมาก ขนาดซื้อล่วงหน้า 15 วันก็เกือบไม่ได้ที่นั่งที่จริงจองผ่านเว็บไซน์ก็ได้แต่เพื่อความชัวร์เราไปจองเองดีกว่า และอีกอย่างนี้เป็นครั้งแรกของเราด้วย ตอนไปจองตั๋วอย่าลืมเอาบัตรประชาขนติดตัวไปด้วยนะ ทั้งของเราและเพื่อเพราะว่าต้องใช้บัตรประชาชนในการจองตั๋ว เราจองตั๋วตู้นอน ชั้น 1 ตู้นอนห้องแอร์แบบ บน-ล่าง ชั้นบนจะราคาถูกกว่าชั้นล่าง ตอนที่เราจอง ชั้นบน 799 และ ชั้นล่าง 899 จ้า ขั้นรถตอน บ่ายโมง 13:00 ในใบแจ้งเวลาคือถึงหาดใหญ่ตอน 05:52 สถานีรถไฟหัวลำโพง --- วันที่ 1 เรานัดเพื่อนไปเจอกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพงตอน 9 โมง (แอบตื่นเต้น) นัดไปหาข้าวกิน ซื้อขนม และรอเจ้าหน้าที่ประกาศเพื่อขึ้นรถไฟ เราได้ขึ้นรถไฟตอน 12:25 (แนะนำให้ไปก่อนเวลาจะดีกว่า) กว่ารถไฟจะออกจากสถานี เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจเป็นระยะ คนขึ้นๆลงๆ มีของมาขายเรื่อย ก๋วยเตี๋ยวแห้งอร่อยดี 20 บาท ไม่แพง เราจัดไป 4 กิน 2 คน เวลาใกล้ค่ำจะมีเจ้าหน้าทีเดินมาถามว่าจะปูเตียงเลยไหม เจ้าหน้าที่นำผ้ามาปูที่นอนสีขาว มาปูให้พร้อมกับจัดเตียงพร้อมนอนทั้งด้านบนและด้านล่าง จากปกติเป็นเบาะนั่ง 2 ฝั่งอย่างที่เราเคยๆกัน พอเจ้าหน้าที่มาปูที่นอนกลายเป็นเตียงนอนที่ สบายแอร์เย็น และจะมีผ้าปิดกั้นไว้ เพื่อไม่ใช้คนที่เดินผ่านไปมามองเห็นด้านใน ชั้นล่างจะวิวดีกว่าด้านบนเพราะมีหน้าต่างบานใหญ่ 1 บานที่สามารถมองเห็นด้านนอกของตัวรถได้ (นี้อาจเป็นที่มาของราคาที่ต่างกัน) ถือว่าเป็นการเดินทางที่ตื่นเต้น สบาย ไม่รู้สึกเหมื่อยอะไรเลย เหมือนนอนยุบนเตียงที่กำลังเคลื่อนที่ตลอด และเราก็เพลอหลับไป และตื่นเป็นระยะๆ เวลาที่ได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังหรือเสียงแตรรถไฟ ที่บีบอย่างเสียงดัง เพื่อเป็นสัญญาณว่าถึงในแต่ละสถานี ดินแดนมโนราห์ --- วันที่ 2 การนั่งรถไฟจากกรุงเทพ-หาดใหญ่ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ 18 ชม ของการเดินทาง ถึงสถานีหาดใหญ่ช้ากว่าเวลาในตั๋วประมาณ 2 ชม เพราะถึงสถานีคือตอน 8 โมงเช้า ที่สถานีหาดใหญ่จะมีข้าวเหนียวไก่หาดใหญ่ลูกชิ้น อาหารเช้า แบบง่ายๆ ที่แม่ค้ามาขายไม่เยอะมาก แต่พอกินลองท้องได้ ห้องน้ำมี 2 แบบ แบบเข้าห้องน้ำตอนที่ไป ราคาประมาณ 5 บาท ถ้าอาบน้ำ 20 บาท หลังจากทำธุระเสร็จ ก็โทรหาทางบริษัทนำเที่ยวที่ได้จองไว้ ทางบริษัททัวร์บอก จะมีรถตู้มารับที่หน้าสถานี ประมาณ 8.30 โมง เพราะมีอีกกรุ๊ปที่จะไปพร้อมเราด้วย กรุ๊ปนั้นเขาพักที่โรงแรมเล็กๆ ในสถานีหาดใหญ่ **สถานีหาดใหญ่มีเหมือนโฮสเทลเล็กๆสำหรับนักท่องเที่ยวพักค้างคืนราคาไม่แพงมาก เท่าที่รู้มานะ เพื่อนๆ ลองไปหาใน google ดูน่าจะชื่อ "โรงแรมรถไฟหาดใหญ่" แต่เราไม่ได้พักเองน้า** รถตู้ที่ทางบริษัทมารับ สภาพค่อนข้างดี น้าคนขับน่ารักพูดเพราะ ในรถตู้มีประมาณ 6 คน รวมเราและเพื่อน ระหว่างทางมีแวะปั้มน้ำมันเพื่อให้เราได้เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมประมาณ 10 นาที และพาเราไปที่ท่าเรือ ใช้เวลาเดินทางโดยรถตู้ประมาณ 1.30 ชม. ก็มาถึงท่าขึ้นเรือ บันดาหยา ท่าเรือที่จะข้ามไปเกาะหลี่เป๊ะ เจ้าหน้าที่ของทางบริษัทจะเป็นคนจัดการ การขึ้นเรือ ดูแลเราอย่างดี ถามไถ่อย่างคนกันเอง น่ารักเป็นมิตรมาก ก่อนขึ้นเรือเราต้องจ่ายคนละ 40 เป็นค่าเข้าอุทยาน ไปโล้ด ขึ้นเรือกัน สถานที่แรกที่เรือสบีชโบ้ท บนเรือส่วนใหญ่ 90% เป็นชาวต่างชาติมีคนไทยบ้าง แต่คนไทยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะ เพราะมีการขนสัมพาระเยอะแยะ ของใช้ต่างๆสำหรับการใช้ชีวิตบนเกาะ เราได้เจอลุงคนนึง แกถามว่าพึ่งมาครั้งหรอกหรือเปล่า พร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตร แกเล่าต่อว่าแกมีห้องพักอยู่บนเกาะนั่น ค่าห้องไม่แพงมาก คืนละไม่เกิน 1200 ถ้าสนใจแวะติดต่อแกได้ ลุงใจดีมากยิ้มแย้ม ใครบอกคนใต้น่ากลัว คนใต้น่ารักมากจริงๆ เรายิ้มขอบคุณ แกเสียดายที่เราจองมากับทัวร์แล้ว สถานที่แรกที่จะจอดให้ นักท่องเที่ยวได้ลงไปถ่ายรูป ที่แรกคือ เกาะไข่ ไปถ่ายรูปกับโขดหิน ที่คดลงมาเหมือนเป็นซุ้มประตูที่ต้องรับทุกคนเจ้าสู้ดินแดนที่น่าหลงใหล ของทะเลที่น้ำใสเห็นตัวปลา น้ำทะเลใสมากมองเห็นพื้นธรณีที่อยู่ด้านล่าง ลมพัดเอาแดดที่อาบไปด้วยกลิ่นอายของทะเลมาสู่ผิว ที่อาจทำให้รู้สึกเหนียวผิว เพื่อเป็นการแสดงให้รู้ว่าเรามาถึงทะเลแล้ว แสงแดดที่แผดเผาช่างเข้ากันกับน้ำทะเลที่ใสสะอาด ยิ่งทำให้ทะเลดูมีเสน่ห์มากขึ้น เราได้แต่ถ่ายอยู่บนเรือไกลๆ เพราะอากาศร้อนและคนที่ต่อคิวเข้าไปถ่ายรูปอย่างตื่นเต้น สถานที่สำหรับไว้พักเรือและพักผ่อนตลอดระยะเวลาราวๆ 20-40 นาที จากฝั่งมาถึง "อุทยานแต่งชาติตะรุเตา" มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยให้ความสะดวกและบริการนักท่องเที่ยว เพื่อให้คนเรือได้พักเรือและให้นักท่องเที่ยวได้ยืดแขนยืดขาถ่ายรุปและเข้าห้องน้ำตามอัธยาศัย โดยการขึ้นเกาะแต่ละครั้งจะมีเวลากำหนดและกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวสำหรับขึ้นเกาะ เจ้าหน้าที่จะให้จำเลขข้างเรือไว้ เพื่อว่าเวลาจะเรียกขึ้นเรือเจ้าหน้าที่จะเรียกเลขข้างเรือเพื่อเป็นสัญญาณให้นักท่องเที่ยวเตรียมตัวขึ้นเรือและเดินทางต่อ ประมาณ 15.30 ถึงเกาะ เรือมาจอดให้ที่หน้า รีสอร์ท ที่ทางบริษัททัวร์จองไว้ให้ ที่พักติดหาด สบาย ห้องที่เราได้พักเดินเข้าไปนิดหน่อย เป็นบ้านหลังๆ อารมณ์คล้าย บังกะโล และเรากับเพื่อนก็เก็บของ อาบน้ำและพักผ่อน ทริป ดำน้ำ ดูปะการัง --- วันที่ 3 9:00 โมง ที่หน้ารีสอร์ท ก่อนขึ้นเรือมีเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำ สอนการใช้สน็อกเกิลและค่าเช่าคนละ 50 บาท และถ้าเช่าตีนเป็ดด้วยก็จ่ายเพิ่มอีก 50 บาท เรือที่ใช้เป็นเรือหางยาว บทเรือทั้งหมด 5 คน รวมเรากับเพื่อนอีก 2 คน คนเรือน่ารักและใจดีมาก มีการเก็บภาพถ่ายใต้น้ำให้พรี สำหรับคนที่ไม่ได้พกกล้องที่สำหรับถ่ายภาพใต้น้ำไป เกาะที่1 และ 2 น่าจะเป็นเกาะชั้นใน ให้เราได้ดำน้ำดูปะการัง ปะการังสวย ปลาการ์ตูน ว่ายเต็มไปหมดเหมือนตัวเองเป็นนางเหงือกอย่างไงอย่างนั้น เที่ยงคนเรือพาไปพักที่เกาะที่ไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาทริปดำน้ำไว้พักผ่อน กินข้าว คนเรือ แจกข้าวกล่องและน้ำเปล่า คนละ 1 ชุด หาที่นั่งได้ตามอัถยาศัย แต่ห้ามทิ้งขยะ ต้องเก็บมาทิ้งที่เรือ เพราะที่นี้มีเจ้าหน้าที่ทหาร คอยดูความสะอาดและความเรียบร้อย บนเกาะมีห้องน้ำบริการ ห้องน้ำสะอาด ทุกคนทำตามกฎอย่างเคร่งครัดแม้แต่ชาวต่างชาติต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างดี เกาะที่ไป คือเกาะหินงาม เคยได้อ่านข่าว เรื่องที่ว่ามีนักท่องเที่ยวที่มาที่นี้และเอาหินมาต่อกันเป็นชั้นๆ คอนโดและถ่ายภาพ และทำให้ดินล่วงกระแทกสร้างความเสียดายให้หิน และไม่อนุญาติให้นำหินกลับไปด้วย หลังจากที่เรือเทียบท่าจะมีเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่าห้ามทำแบบนั้น พร้อมติดป้ายชัดเจน เกาะหินงามเป็นเกาะที่มีหินสีดำสนิทสวยมาก เหมือนสีของเหล็กไหลอย่างไงอย่างงั้นเลย ถือว่าเป็นจุดขายของเกาะหลี่เป๊ะเลยก็ว่าได้ ถ้ามาที่เกาะหลี่เป๊ะ ต้องมาเที่ยวเกาะหินงามสักครั้ง เพราะมันสวยมาก เกาะหินงามเป็นเกาะโล้นๆ ที่รอบข้างเป็นป่า มีปลาเล็กๆ ว่ายอยู่ในน้ำตื้นๆรอบๆเกาะ ขณะที่เราดำน้ำดูหินใต้น้ำ อาจได้เห็นปลาตัวเล็กๆ ว่ายรอบๆเราเหมือนไม่กลัวคนเลยสักนิด มันยิ่งทำให้เป็นเกาะหินงามที่ดูน่าหลงใหลและไม่อยากไปไหนเลย เกาะสุดท้ายนี้ห่างจาก เกาะหลี่เป๊ะไม่ไกลมาก ใช้เวลาประมาณ 20 นาที นั่งเรือถึงเกาะหลี่เป๊ะประมาณ 16.00 กว่าๆ ขึ้นเกาะก็ตรงกลับห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและหาข้าวกินตอนเย็น ถนนคนเดินเกาะหลี่เป๊ะ ถนนคนเดินบนเกาะหลี่เป๊ะ เหมือนเดินอยู่เมืองนอก เพราะร้านค้าต่างๆล้านมีป้ายเป็นภาษาอังกฤษ ระยะทางความยาวของถนนคนเดินเส้นนี้ราวๆ 1 กิโลเมตรได้ ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็จะยิ่งเจอเหมือนเป็นชุมชนของคนในพื้นที่ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากขึ้น ราคาอาหารทะเลถือว่าแพงพอสมควรสำหรับเรา แต่ก็มีร้านที่ราคาพอได้รับสำหรับคนไทยอย่างเรา บ๊ายบาย เกาะหลี่เป๊ะ --- วันที่ 4 ตื่นเช้ามากินข้าวของทางโรงแรมและเตรียมเช็คเอ๊าท์ จะมีเรือรอบ 10 โมงเช้ามารับขึ้นฝั่ง รอบรถไฟที่จองไว้ขากลับ กทม คือรอบ บ่ายสามโมง บนเรือขากลับต่างชาติเยอะมาก เกาะนี้เป็นเกาะที่สงบ น่าเที่ยว เพราะทัวร์จีนน้อย ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติที่มาเที่ยวเองพร้อมครอบครัว เด็กฝรั่งวิ่งเจียวจ้าวน่ารัก หลังจากข้ามมาถึงฝั่ง จ.สตูล ทางบริษัทจัดการหารถตู้มาส่งเราและเพื่อนที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ ด้วยเหตุที่มาถึงฝั่งก่อนเวลารถออก ประมาณ 3 ชม เราตัดสินใจนั่งวินมอไซด์ ไปตลาดตันหยง เพื่อซื้อของฝากคนที่บ้าน ตลาดตันหยง เป็นตลากที่ค่อนข้างใหญ่ สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากมาเลเซียพวกขนมขบเคี้ยว เกาลัดถุง ผ้าถุงต่างๆ กะปีมีขายเยอะมากกับแกงไตปลาแห้ง ของขึ้นชื่อของภาคใต้ก็ไตปลาแห้งนี้ละ เที่ยวทะเลใต้ครั้งแรก ประทับใจเหมาะแก่การมาพักผ่อน น้ำทะเลใส มองเห็นปลา ธรรมชาติสร้างมาได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์แบบจริงๆ รักทะเลไทยและความเป็นคนไทย บริการด้วยใจและรอยยิ้ม ใครว่าคนใต้น่ากลัว คนใต้น่ารักมาก ไม่แปลกใจเลยทำไมต่างชาติถึงชอบคนไทยรักทะเลไทยเพราะคนไทยน่ารัก ใจดีและมีน้ำใจมาก คนไทยยิ้มแย้ม เหมาะสมแล้วที่ยกให้เป็น "ยิ้มสยาม" ขอบคุณค่ะ