สคอฟิลด์ และ เบลก 2 พลทหาร ได้รับภารกิจด่วนในการส่งสารให้กับผู้บัญชาการกองร้อยนั้นเพื่อยุติสงคราม รวมถึงรักษาชีวิตเหล่าทหารร่วมชาติอีก 1,600 นาย ขณะเดียวกันทั้งคู่จะต้องฝ่าฟันดงข้าศึกออกไปให้ได้ เป็นหนังสงครามที่บางมุมมีลักษณะคล้ายกับ Dunkirk (2017) อยู่หน่อย ทั้ง Location , Costume หรือ เลือกบอกเล่าของฝ่ายสหพันธ์รัฐเป็นตัวหลัก ฝ่ายอักษะหรือข้าศึกเป็นตัวร้าย แต่เหตุการณ์เกิดคนละช่วงเวลากัน ของ Dunkirk เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วน 1917 เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่เรื่องนี้วิธีการเล่าเรื่องดูง่ายกว่า Mass กว่า มีจังหวะให้ตื่นเต้นได้จากฉาก Action เสียงระเบิด ยิงปืนสนั่นหวั่นไหวด้วยระยะเวลาของหนัง 1 ชั่วโมง 59 นาทีที่พอดี ไม่สั้นไป ไม่ยาวเกินไป กลางเรื่องมีจุดอ่อนลงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่คุมโทนความ Entertain อยู่หมัดจนลืมดูเวลาไปเลยสิ่งที่โดดเด่นสุด ๆ คือ การลำดับเรื่องแบบ Long Take ของผู้กำกับรางวัลออสการ์ Sam Mendes จาก American Beauty (1999) , Road to Perdition (2002) และ Skyfall (2012) ก่อนจะฝีมือตกไปจาก Spectre (2015) แล้ว Come Back แก้มือได้สำเร็จอีกครั้งในเรื่องนี้ แถมได้รางวัล Oscar 3 ไปครอง ได้แก่ รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม , ผสมเสียงยอดเยี่ยม และ เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม โดยเฉพาะสิ่งดีงามที่สุด คือ การเดินเรื่องแบบ Long Take แพนจังหวะมุมกล้องละเอียดมาก ถ่ายทอดบรรยากาศบ้านเมืองเก่า ๆ ซากปรักหักพัง วิวทัศน์ของทุ่งหญ้าแห้ง ๆ ป่าเขาทึบ ๆ ดินทรายชื้น ๆ ที่ทรุดโทรมก็ดูสวยงามเช่นกัน การดำเนินเรื่องคือ Survivor Live Action เลย เหมือนเอาตนเองไปวิ่งในเกมส์ที่มีภารกิจมากมายในแต่ละด่านทำ Quest ให้ครบเพื่อเข้าสู่เส้นชัย แต่ละด่านต้องพบเจอคน เจอกระสุน ฝ่าควันระเบิดสงครามจากข้าศึกและพวกเดียวกัน ซากศพทหารเหล่านี้ ซึ่งทำให้เราได้ซึมซับ ได้เสพจากสิ่งเหล่านี้ได้สนุกปนขนลุกย่อม ๆ ถ้าได้ดูในระบบ Imax จะฟินกว่านี้ สำหรับระบบ i-max นอกจากหนังประเภท Sci-fi แล้ว ก็มีหนังประเภท War นี้แหล่ะที่ตอบโจทย์ความต้องการการเสพอรรถรสกับความอลังการยิ่งใหญ่ได้อยู่นักแสดงรวมดาราจากเกาะอังกฤษมากฝีมือมากมาย เช่น Colin firth จาก Bridget Jones’s Diary 1-3 (2001,2004,2016) , Mark strong จาก Kick-Ass (2010) , Richard Madden จาก Rocketman (2019) และ Benedict Cumberbatch จาก Doctor Strange (2016) พาเหรดกันรับจ๊อบมาแต่งเติม Story ทีละ Part ตัดแปะรวมกันได้ดีเหมือนเป็นพี่เลี้ยง Support ให้รุ่นน้อง คนที่รับบทหนักดูจะเป็น George Mackay จาก Captain fantastic (2016) แสดงดี อนาคตไกล ยิงได้ ต่อยเป็น สวมวิญญาณเป็นนักวิ่งมาราธอนแบบพี่ตูนได้ทุกสถานการณ์ ส่วนตัวเด่นอีกคน Dean-Charles Chapman จาก Game of Throne series (2013-2016) ดาราวัยรุ่นอนาคตไกลอีกคน มีเสน่ห์แบบเด็ก ๆ มีส่วนช่วยผลักดันให้เอาใจช่วยมากว่าจะเดินไปทิศทางไหนกันส่วนที่ไม่ชอบ คือ ฉากกลางคืนมืดไป มองไม่เห็น ไม่สามารถเก็บ Detail รอบข้างได้ ถ้าอยากดูฉาก Action ระเบิดป่า เผากระท่อมค่อนข้างผิดหวังหน่อย เพราะมีน้อย มาทีจัดเน้น ๆ ตัวละครแบนราบไม่มีมิติ ไม่มีการเล่าความเป็นมาว่าใครเป็นใคร ก็เข้าใจได้ดีเพราะตรงนี้ไม่ใช่ Keywords อะไร ไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ บางคนโผล่หน้าจอมาแล้วก็ผ่านไปแล้วไปลับ อีกแง่มุม คือ ขาดการสร้าง Relationship กับตัวละครอื่นนอกจากตัวพระเอก กับ เพื่อนพระเอกที่มี Feeling ต่อกันดี ถ้าใส่มากไปก็อาจดู Drama ยัดเยียดไม่เป็นธรรมชาติผมพูดได้เลยว่า นี่คือ Saving Private Ryan ยุคปัจจุบัน 2021 นี้ เพราะ องค์ประกอบทุกอย่างคล้ายคลึงกับเรื่องนั้นเหมือนได้รับอิทธิพลมาแทบจะทุกอิริยาบถ ทั้งความรุนแรงของสงคราม ฉากปะทะระหว่างฝ่ายตนเองกับข้าศึก ความตึงเครียดจาก Emotion ในตัวละคร ซึ่งจึงเกิดความขัดแย้งในตัวมนุษย์กันเองกับ Situation ที่ไม่คงที่อยู่ตลอด เนื่องด้วยหนังสงครามทุกเรื่องสร้างจากเหตุการณ์จริง เราพอรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งบางอย่างที่ไม่รู้ก็สามารถศึกษาหาความรู้เองได้ตามหนังสือ ตามโลกอินเตอร์เน็ตทั่วไปเพิ่มเติม แต่ประเด็นสำคัญจริง ๆ ขึ้นอยู่ว่าผู้กำกับจะนำเสนออย่างไรให้เรื่องมีความน่าสนใจ ดึงหัวข้อส่วนไหนให้น่าติดตาม ผมดูหนังสงครามมาหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ประทับใจหมด ซึ่งเรื่องนี้ภาพรวมนำเสนอได้ยอดเยี่ยม อาจจะไม่ได้เป็นหนังที่ผมชอบที่สุด แต่ติด 1 ใน List หนังสงครามที่ดีที่สุดในศตวรรษนี้ไปแล้วเรียบร้อยขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share รีวิวของผม รวมถึงหนังที่รีวิวใน Facebook ชื่อ EM Pascal กันได้นะครับ ขอบคุณครับTwitter : @1997 = ภาพประกอบหน้าปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !