สวัสดีค่ะเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถให้ความรู้สำหรับนักอ่านได้ มาดูกันก่อนว่ารถรางถูกนำมาใช้ในบางพื้นที่ของอังกฤษ ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษ 16 ส่วนใหญ่ใช้สำหรับบรรทุกถาดหินและโลหะ ที่ไม่ได้เอาออกจากเหมือง หรือขึ้นเรือ อ่านเพื่อหาคำตอบ รถไฟฟ้าจริงๆขบวนแรก ยังไม่ปรากฏขึ้นจนกว่าที่ โลโคโมชั่น หมายเลข 1 ได้ออกเดินทางครั้งแรกในปี 1825 เครื่องยนต์รุ่นแรกดูเหมือนถังติดล้อ และรถไฟขนาดเล็กยาว 122 เมตร ลากไปอย่างช้าๆอยู่ที่ความเร็ว 24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันทั้งเล็กและช้า แต่มันก็รับผู้โดยสารได้ประมาณ 600 คน ในวันแรกที่เปิดทำการถัดมาอีก 100 ปี รถไฟก็กลายเป็นราชาแห่งการเดินทางระยะไกลตัวอย่าง เช่น มีรถไฟขนาดใหญ่สีเขียวที่รู้จักกันในชื่อ ฟลายอิ้งสกอตแมน มันมีประสิทธิภาพมากกว่าชื่อตลกๆ ที่เหมือนหลุดมาจากโลกของเวทมนต์ มันถูกสร้างขึ้นเกือบ 1 ศตวรรษ หลังโลโคโมชั่น หมายเลข 1 เครื่องยนต์ของฟลายอิ้งสกอตแมน นั้นมีความยาวเกือบ 24 เมตร และมีน้ำหนักมากกว่า 100 ตัน ลองเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดเล็กหนัก 7 ตันของโลโคโมชั่น หมายเลข 1 ด้วยความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภาพโดยhttps://www.pexels.com/th-th/photo/72594/ รถไฟในปัจจุบันรถไฟดีเซลมีอายุย้อนไปปลายศตวรรษที่ 19 แต่เพิ่งเริ่มมีการใช้อย่างจริงจังในทศวรรษที่ 1950 รถไฟดีเซลสมัยใหม่นั้นไม่ได้เร็วไปกว่ารถไฟรุ่นฟลายอิ้งสกอตแมนเท่าไหร่ รถไฟดีเซลที่เร็วที่สุด ในโลกคือ บริติชอินเตอร์ซิตี้ 125 เปิดให้บริการตั้งแต่ทศวรรษ 1970 รถไฟเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้เดินทางด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ามีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 238 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุดนี้เทียบได้กับความเร็วของเครื่องบินเล็ก ภาพโดยhttps://www.pexels.com/th-th/photo/796634/ รถไฟดีเซลอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ารถไฟไอนํ้ารุ่นก่อนๆ ด้วยเครื่องยนต์ไอน้ำเผา ไม้ ถ่านหิน เพื่อต้มน้ำ ไอน้ำจะถูกรวบรวมไว้ในเครื่องและใช้เพื่อหมุนล้อ ให้เดินไปข้างหน้า ปัญหาที่มันต้องใช้แรงมากในการเคลื่อนย้ายรถไฟดังนั้นเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานจากถ่านหิน ต้องใช้เวลาในการอุ่นเครื่องก่อนที่จะต้องพร้อมและต้องเผาถ่านหินจำนวนมาก ก็รถไฟจะเริ่มเคลื่อนไหวได้อีก ภาพโดยhttps://www.pexels.com/th-th/photo/glenfinnan-glenfinnan-507410/ มันจำเป็นต้องปล่อยไอน้ำส่วนเกิน เมื่อรถไฟมาถึงที่หมาย ซึ่งหมายความว่าพลังงานที่สะสมอยู่ในตัวเครื่อง จะสูญเปล่าและที่ทำให้แย่ลงไปอีกก็คือ เครื่องยนต์ไอน้ำสกปรก ดังนั้นจึงต้องทำความสะอาดหม้อไอน้ำอย่างละเอียด อย่างน้อยเดือนละครั้ง และจำเป็นต้องถอดประกอบเครื่องยนต์บางส่วน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษาตามปกติ เครื่องยนต์ดีเซลสะอาดกว่าและมีแนวโน้มที่จะพังน้อยกว่า ในช่วงทศวรรษที่ 1930 รถไฟไอน้ำทั่วไปจะใช้เวลาในการบำรุงรักษาถึง 65% ในขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลจากยุคเดียวกันเพียงแค่ใช้เวลา 5% แล้วก็ใช้เวลาลดลงเรื่อยเรื่อยในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นเรื่องนี้อาจจะดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ข้อมูลนี้คุณนักอ่าน สามารถนำไปคิดต่อได้นะคะ ทั้งนี้หวังว่าบทความนี้คงจะเกิดประโยชน์กับคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอตัวลาไปก่อน ไว้พบเจอกันได้ใหม่ในบทความถัดไปสำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ ภาพหน้าปกโดยhttps://www.pexels.com/th-th/photo/franzburg-258405/