การไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ก็จะทำให้มีโอกาสซ้ำรอยเดิมได้ แม้ว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าสนุก แต่ก็แฝงเรื่องน่าเศร้าไปพร้อม ๆ กัน เพราะประวัติศาสตร์มีทั้งเรื่องสงคราม ผลประโยชน์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่เราจำความได้ การเรียนรู้เรื่องราวในอดีตเป็นการเรืยนรู้ที่จะรับมือกับอนาคตเพื่อไม่ให้เราเดินกลับไปทำผิดอีกครั้ง และยังเป็นการเปิดมุมมอง เรียนรู้เหตุผลการกระทำมากกว่าตัดสินเรื่องราวจากด้านเดียว หากแต่เราต้องใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล เพราะเรามักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า ผู้ชนะมักจะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ (History is always written by the winners. ) นั้นเอง ใครหลาย ๆ คนมักจะคิดว่าเรียนประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย เพราะหนังสือประวัติศาสตร์แต่ละเล่มนั้นช่างหนา เหมาะกับการมาทำเป็นหมอนมากกว่าหาประโยชน์ แต่จริง ๆ แล้ว การเรียนประวัติศาสตร์สามารถเกิดได้จากการชมภาพยนตร์ ซึ่งสนุกกว่าการอ่านมากทีเดียว เพราะประวัติศาสตร์จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปค่ะ วันนี้จะมาแนะนำหนังประวัติศาสตร์รอบโลกที่คุณต้องห้ามพลาดเด็ดขาด จะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ Argo ( 2012 ) - แผนฉกฟ้าแลบลวงสะท้านโลก ( cr. official Poster from WarnersBros ) หนังรางวัลออสการ์แสดงโดยนักแสดงชื่อดัง Ben Affleck เป็นเรื่องราวจากหน้าประวัติศาสตร์ ในวิกฤตตัวประกันอิหร่าน ช่วงอิหร่านเปลี่ยนจากระบอบจากระบอบกษัตริย์มาเป็นรัฐอิสลาม ( Islamic State ) มีการประท้วงบนท้องถนนรวมไปถึงบุกสถานฑูตอเมริกา จับชาวอเมริกันไว้ 50 คน มี 6 คนที่หนีรอดออกมาได้ แอบอยู่ในสถานฑูตแคนาดาเพื่อรอการช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐ จนเกิดเป็นภารกิจช่วย 6 คนที่เหลือผ่านคณะทำหนังที่ปลอมตัวจากหน่วย CIA เรื่องราวจะสนุกขนาดไหน ต้องไปหาดูค่ะ รับรองว่าตื่นเต้น ลุ้นไปกับภารกิจจนไม่อยากจะลุกไปห้องน้ำเลยสักนาทีเดียว 2. Schindler list ( 1993 ) - ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม ( cr. Official Poster from Universal ) หนังรางวัลออสการ์ 7 สาขา ของผู้กำกับชื่อดัง Steven Spielberg ที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังคลาสสิคขึ้นหิ้งตลอดกาลอีกเรื่อง เป็นเรื่องของนักธุรกิจผู้มีวาทศิลป์ในยุคสงครามโลก นาซีมีอำนาจรุ่งเรือ ออสการ์ ซินด์เลอร์ ( Oskar Schindler ) เปิดโรงงานผลิตเครื่องครอบ โดยได้แรงงานจากชาวยิวผู้ตกเป็นนักโทษในค่ายกักกัน เค้าถูกมองเป็นปีศาจจนท้ายสุด เวลาทำให้เค้าเห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม และการปรณิบัติต่อชาวยิวราวกับไม่ใช่คน การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เค้าต้องช่วยเหลือชาวยิว 1,100 ที่ทำงานในโรงงานเค้า จนสุดท้ายพวกเขาเป็นอิสระ และเขากลับถูกจับในฐานะอาชญากรสงคราม แต่ชื่อของเขาเป็นที่จดจำในฐานะผู้ช่วยชีวิตชาวยิว เตรียมทิชชู่และเตรียมใจให้พร้อม เพราะจะเป็นสามชั่วโมงที่ทำให้ใจคุณหนักอิ้งแต่คุ้มค้าทุกนาทีค่ะ 3. Hotel Rwanda ( 2004) - รวันดา ความหวังไม่สิ้นสูญ ( cr. Official Poster from MGM ) เราแตกต่างกันตรงไหน ? เป็นคำเปรยของหนังเรื่องนี้ โฮเทล รวันดาเป็นหนังที่ทำมาจากเรื่องราวการฆ่าเผ่าพันธ์ในรวันดาระหว่างสองชนเผ่าที่อยู่ร่วมกันในประเทศ ความขัดแย้งของชนเผ่า ทุตซี่และฮูตู บานปลายจนเกิดการฆ่ากันในปี 1994 ตลอดระยะเวลา 100 วันผู้คนต่างออกมาจับอาวุธฆ่า แม้กระทั้งเพื่อนบ้านที่ต่างชนเผ่า โดยเรื่องจะเล่าผ่านตัวละครเอก ชื่อ พอลที่เป็นผู้จัดการโรงแรม 4 ดาวในรวันดา แม้ว่าเค้าจะเป็นชาวฮูตู แต่ได้ช่วยเหลือชาวทุตซี่ตลอดระยะเวลาสามเดือน โดยให้สินบนกับคนเหล่านั้นไม่ให้บุกเข้ามาในโรงแรม หนังได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมรวมถึงผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม ไม่เป็นที่แปลกใจเลยทำไมคุณควรจะต้องดูหนังเรื่องนี้ค่ะ 4. Lawrence of arabia ( 1962 ) - ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย ( cr. wikipedia ) หนังคลาสสิครุ่นเดอะ ที่คว้ารางวัลออสการ์ถึง 7 รางวัล รวมถึงสาขาภาพยอดเยี่ยมโดยผู้กำกับชาวอังกฤษอย่าง David Lean หนังมีความยาวถึง 4 ชั่วโมงบอกเล่าถึงเรื่องราวของทหารอังกฤษนามว่า Thomas Edward Lawraence หรือ T.E Lawrence ที่กลายมาเป็นวีรบุรุษของอาหรับต่อสู้กับชาวเติร์กในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 หนังได้แสดงถึงความสวยงามของทะเลทราย เรื่องราวของการเมืองที่เข้มข้นจากหน้าประวัติศาสตร์ การแย่งชิงแผ่นดินกันในโลกอาหรับ ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงกลายเป็นหนังคลาสสิคอมตะ ที่ต้องหามาดู แม้แต่ผู้กำกับชื่อดังอย่าง steven spielberg ยังยกย่องให้เป็นผลงานขึ้นหึ้งระดับเทพที่ต้องซูฮก นอกจากเนื้อเรื่องจะดูได้เรื่อย ๆ ภาพสวยงาม และเพลงประกอบก็ยังไพเราะเพราะพริ้ง ใครชื่นชอบภาพสวย ๆ แนวทะเลทราย แต่ได้ความรู้ด้วยต้องไม่พลาดค่ะ 5. Thirteen days ( 2000 ) - 13 วัน ปฏิบัติการหายนะโลก ( cr. wikipedia ) จะมีครั้งหนึ่งที่โลกเคยเข้าใกล้คำว่า จุดจบของโลกที่สุดก็อยู่ในเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้แหละค่ะ เพราะในยุคสงครามเย็นที่อเมริกาและสหภาพโซเวียตแข่งขันกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ไม่ปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ใช้จิตวิทยาในการเล่นงานกัน เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นเมื่อ สหรัฐติดหัวรบไว้ในตุรกี ซึ่งใกล้กับสหภาพโซเวียด ( USSR ) และกลับกัน โซเวียดจึงติดหัวรบในประเทศที่ถือว่าใกล้สหรัฐมาก ๆ นั่นคือ คิวบา จึงทำให้เกิดวิกฤตที่เรียกว่า วิกฤตคิวบา ( Cuba Crisis ) เป็นช่วงระยะเวลา 13 วันที่โลกเข้าใกล้สงครามโลกครั้งที่ 3 มากที่สุด เพราะถ้าเกิดจริง ๆ แล้วก็คงต้องถึงจุดอวสารเพราะอย่างที่รู้กันว่า จำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของทั้งสองประเทศรวมกัน หากนำมาใช้ในสงครามตอบโต้กันแล้วโลกคงจะต้องถึงจุดจบ แต่โชคดีที่ ผู้นำของทั้งสองประเทศในตอนนั้นคือ ฝ่ายประธานธิบดีเคนเนดี้ ( John F. Kenedy ) ของสหรัฐอเมริกาและนีกีตา ครุชชอฟ ( Nikita Khrushchev) จากโซเวียต เลือกที่จะใช้การเจรจามากกว่า สงครามตอบโต้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อใครเลย เรื่องนี้ทำให้เราเห็นมุมของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อนและผู้นำต้องมีเหตุผล สติ รวมถึงทีมที่ดีเพราะการตัดสินใจบางอย่าง จากข้อมูลด้านเดียวจากกลุ่มคนกลุ่มนึง อาจจะทำให้ไม่เกิดผลดีต่อประเทศและมนุษยชาติเลย ต้องหามาดูเพราะสนุกจนไม่อยากกระพริบตาเลยละคะ