แม้หน้าหนังนำเสนอประเด็นของ Religious เป็นตัวชูเรื่อง ที่ดูเชยไปแล้ว แก่นแท้จริงนั้นคือการนำเสนอรูปแบบต่อต้านศาสนาอย่างรุนแรง โดยมีประเด็นเสริมอย่าง ความเป็นปัจเจกชนของมนุษย์ เป็นจุดขัดแย้งกับความเชื่อ ความศรัทธาในพระเจ้าแถมแตกหน่อไปอีกหลายอย่างทั้งการแบ่งชนชั้นสถานะทางสังคม , การปกครองโดยชายเป็นใหญ่ และสงครามโรคระบาดอีก ทำให้มี Details เล่ามากมายในมุมมองของสิทธิเสรีภาพชนแถมอิงกระแสปัจจุบันไม่ Out ตามไปเลยหนังไม่ได้พูดถึงเรื่องศาสนาอย่างเดียว แต่ได้กล่าวถึงแก่นของปัญหาที่ผู้หญิงถูกกระทำโดยตรง โดยใช้หลักของศาสนามาเป็นเครื่องมือในการควบคุมแทน การอ้างถึงสิทธิถูกกดขี่จากผู้ชายมาในรูปแบบตัวแทนของกษัตริย์ , ขุนนาง , ทหาร หรือแม้กระทั่งพระเยซูอ้างว่าเป็นหน้าที่ปกครองบ้าง ทำเพื่อปกป้องประเทศบ้าง ไม่ว่าวิธีไหนผู้หญิงก็ยังคงอยู่ใต้อาณัติแทบไม่มีสิทธิ์ออกเสียงแม้แต่นิดเดียว การต่อต้านขนบธรรมเนียมเดิมคือการแสดงการต่อสู้ในเชิงสัญลักษณ์ต่อขนบจารีตโบราณในรูปแบบการสื่อสารทางอวัจนภาษาที่ไม่ใช่แค่ศิลปะของภาพอย่างว่าอย่างเดียว เป็นการต่อสู้สิทธิทางมุมมอง ปรุงแต่งความคิดที่สวยงามเช่นกันนอกจากนี้ยังกล่าวถึงประเพณีเก่าแก่สมัยโบราณอย่าง การที่ผู้ชายขอผู้หญิงหมั้นก่อนแต่งงานหรือที่คนไทยเรียกว่า สินสอด อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ถูกยกเลิกไปนานแล้วในประเทศที่เจริญแล้ว แต่ที่ไทยยังดำรงนับถือธรรมเนียมนี้อยู่ อ้างว่าเป็นสิ่งที่ปลูกฝังความเชื่อมาแต่บรรพบุรุษสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น หรือ เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมให้ดูขลังอะไรแล้วแต่ มันจึงมีอิทธิพลที่ผูกโยงกับชีวิตของคนยุคก่อนได้ง่ายมาก โดยไม่มีเหตุผลอื่นมาหักล้างโต้แย้งอะไรเลยหนังดัดแปลงมาจากหนังสือ Immodest Acts the life of a Lesbian nun is Renaissance Italy ( ชื่อยาวมาก ) ของ Judith C. Brown บันทึกถึงพฤติกรรมการปฏิบัติของแม่ชีในศตวรรษที่ 17 จนกลายเป็นเรื่องฉาวในศาสนจักร ซึ่งมองในยุคนั้นมันเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่มีคนกล้าท้าทายกฎจารีตที่นับถือกันในศาสนาที่มีอิทธิพลมากช่วงยุคมืดของประวัติศาสตร์ อีกมุมนึงมันคือจุดเริ่มต้นของการปลดแอค การเรียกร้องสิทธิของตนเองให้มีอิสรภาพทางความคิดมากขึ้น ถ้าหากการได้รับใช้พระเจ้า เคร่งครัดในศีลธรรมใกล้ชิดเป็นสิ่งที่ให้ความปลอดภัยแก่ตนเองแล้ว การแหกกฎ ทำลายความเชื่อเดิม ทำในสิ่งที่ต้องการนั่นก็เป็นการปลดปล่อยพันธนาการในใจของตนเองเช่นกันตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 11 นาที เดินเรื่องถือว่ากลาง ๆ ไม่เร็วเกินไป มีช่วง Drop ลงบ้างแต่ไม่วูบหลับ ไม่ค่อยยืดเยื้อเท่าไหร่ บาง Scene Effect ดูปลอม ๆ บ้าง แต่ทดแทนด้วยภาพวาด Renaissance เคลื่อนไหวไปมาสวยมาก ราวกับภาพวาดมีชีวิต ศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ตัว Benedetta ตามชื่อเรื่อง ผมไม่เคยทราบมาก่อนว่าสร้างจากเรื่องจริง ที่เห็นได้ชัดคือ การเห็น Details พัฒนาการทางด้านอารมณ์ของนางค่อนข้างชัดเจน เสียตรงที่ช่วงวัยเด็กปูเรื่องน้อยไป ตัด Scene ไวมาก จับใจความไม่ถูกว่าทำไมนางถึงถูกครอบครัวตนเองส่งเข้าเรียนศาสนามาถึงก็ตัดไปที่เธอโตเป็นสาวซะแล้ว โดยรวมหนังทำหน้าที่สื่อสารกับคนดูได้ดี มี Scene ค่อนข้างจะ Abstract สุดโต่ง จนถามตัวเองว่าแบบอย่างนี้ก็ได้หรือ ? อะไรประมาณนั้น ไม่คิดว่าจะกล้าใส่อะไรแบบนี้ด้วย ผมไม่มีปัญหาตรงการ casting นักแสดงที่รีบบท Benedetta คนละคน คือ ตอนเด็กน้องมีผมสีดำ รับบทโดย Elena Plonka จาก Don’t worry about the kids the series (2019 - ปัจจุบัน) กับ Virginie Efira จาก Elle (2016) ที่มีผมสีทอง แต่ขอตำหนิฝ่ายช่างแต่งหน้าหน่อยที่บกพร่องใน Details แม้จะดูเล็กน้อยแต่มันไม่น่าเชื่อถือว่าเป็นตัวละครนั้น แถมขัดแย้งกับความจริงยุคนั้นว่า มีน้ำยาย้อมผมตอนไหนหรือ ? ควรทำทรงผมให้เหมือนกับต้นฉบับไปเลยและต้องใส่ใจให้มากกว่านี้ส่วนการแสดงนั้น Virginie ทำหน้าที่ได้ดีถึงยอดเยี่ยมมาก โดดเด่นทุก Scene ทำให้เรารู้ว่า Character นี้มันมี Power แอบแฝง มีความหลากหลายมิติอารมณ์ เธอแบ่งแยก Layer ความซับซ้อนในใจตนเองได้ดี นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสมทบช่วยสร้างสีสันอย่าง ป้า Charlotte Rampling จาก 45 Years (2015) รับบทเป็นแม่ชี Felicita ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งศาสนจักรที่น่าเกรงขาม เจ้าคิดเจ้าระเบียบ , สาว Daphne Patakia จาก Nimic (2019) รับบทเป็น Bartolomea แม่ชีฝึกหัดผู้จุดความสัมพันธ์ให้แก่เธอ รวมถึงลุง Lambert Wilson จาก The Martix 2-4 (2003,2021) รับบทเป็น Lord Alfonso ผู้พิพากษาแต่คลั่งอำนาจจนน่าหมั่นไส้ ทุกคนแสดงดี เคมีประชันดีงาม เป็นส่วนประกอบที่เต็มเติมให้ Story สนุกมากขึ้น ผมชอบ Scene การปะทะระหว่าง Benedetta กับ Bartolomea ที่ดึงดูดให้เรื่องมีชีวิตชีวา เพิ่มจุดประกาย Impact มากขึ้นไปอีกถ้าหากป๋า Michael Bay คือเจ้าพ่อหนัง Action , James Cameron คือ King of the world หรือลุง Martin Scorsese เป็นเจ้าพ่อหนัง Gangsters งั้นปู่ Paul Verhoven ก็คือปรมาจารย์ทางสาย Body อย่างแท้จริง ถ้าใครติดตามผลงานที่ผ่านมาของปู่ อาทิ Robocop (1987) , Basic Instinct (1992) , Showgirl (1995) Hollow Man (2000) หรือ Elle (2016) จะเห็นว่า Character แต่ละตัวมันมี Charming ที่ส่งผลต่อ Stimulant Gland ถึง Relationship มนุษย์ด้วยกัน ซึ่งไม่รู้ว่าปู่แกจงใจใส่เข้ามาเพื่อรสนิยมส่วนตัวหรือกระไร แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ มนุษย์มีเลือดเนื้อจิตวิญญาณในตัวของตัวเอง ทุกคนมีความปรารถนาดึงดูดฟิสิกส์กับคนอื่นทั้งนั้น รวมถึงเรื่องล่าสุดนี้ยังคงฝากฝีมือการกำกับที่เป็นผู้ดีตีนแดงรุ่นเก่าของปู่อยู่เสมอบทสรุปให้ทางเลือกแก่ตัวละครชัดเจน ช่วงท้ายจะลุ้นเอาช่วยนางเอกเหมือนกัน ก็สาสมในผลจากการกระทำของตัวละครบางคนที่สมควรโดนอย่างนี้ล่ะ เพราะความโหดร้ายจากสงครามกลางเมือง หรือ ความน่ากลัวของกาฬโรคที่คร่าชีวิต ไม่เคยปราณีใครทั้งสิ้น ใจคนพร้อมเปลี่ยนความคิดทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดตลอดเวลา ขณะเดียวกันหนังสร้าง Massage ต่อทัศนคติที่มีต่อศาสนาต่อการกล้าตั้งคำถาม กล้าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยหลักเหตุผลกัน หาข้อมูลโต้แย้งอภิปรายดีกว่าบอกให้เชื่อ ให้ปฎิบัติตามเพราะคนรุ่นก่อนเขาทำต่อกันมาโดยไม่เปิดโอกาสให้สงสัยอะไรเลย พอไม่ทำตามก็หาว่าดื้อเถียงผู้ใหญ่ ก็เหมือนกับการมองว่าความแปลกแยกคือสิ่งต้องห้าม มีได้แต่ไม่ควรทำให้ใครเห็น หรือ ผู้หญิงใส่ชุดไม่เรียบร้อยในที่สาธารณะ ถูกมองว่าเป็นอย่างอื่น บลา ๆ ผมมองว่ามันเป็น Natural ของมนุษย์ดีกว่า ก็แค่กลับไปสู่วิถีเดิมที่เคยเป็นมาตังหาก แค่รู้จักเคารพสิทธิใน Space แต่ละคนเท่านั้นเองขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share รีวิวของผม EMCONCEPT และ หนังที่รีวิวใน Facebook ชื่อ EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไปกันด้วยครับ ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย :Benedettamovie.com = ภาพประกอบหน้าปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8 / ภาพประกอบที่ 9จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !