บทประพันธ์ดั้งเดิมมาจากนิยายเรื่องสั้นของนักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่น Haruki Murakami ที่มีความยาวแค่ 40 หน้า แต่ผู้กำกับ Ryusuke Hamaguchi จาก Happy Hour (2015) , Asako I & II (2018) ได้หยิบเอา Keywords ทั้ง 5 เรื่องมา Adapt รวมอีกที ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนจากแบบเดิมบ้าง ทั้ง ตัวรถยนต์ จากเดิมเป็นรถเปิดประทุนสีเหลือง ได้เปลี่ยนมาเป็นรถเก๋งสีแดงอย่างที่เห็นในเรื่อง เป็นต้น เพื่อสอดคล้องกับ Location หรือ การสื่อสารระหว่างตัวละครกัน แล้วขยายความแต่ละตอนออกไปเหมือนเป็นจิ๊กซอว์หลาย Layer มาประกอบต่อกันเป็นรูปหนึ่ง โดยแต่ละชิ้นมี Details ย่อยออกไปตามแต่ละ Story ในตัวมันเอง ตลอดเวลาที่ดูเราจะเห็น Details มากมายซ้อนทับกันไปมาชวนสับสน แต่ยังคงกลิ่นไอจากนิยายต้นฉบับไว้อยู่แม้ว่าเนื้อเรื่องจะธรรมดาสามัญ แต่มี Impression ชวนติดตามเนื่องด้วยบทดี ทำให้องค์ประกอบดูทรงพลัง Concept แข็งแรง คนดูทั่วไปสามารถสัมผัสได้ง่าย การเดินเรื่องน่าสนใจ มี Style ที่สามารถยกระดับคุณภาพไปสู่สากลได้เลย ช่วงแรกเริ่มยอมรับว่าน่าเบื่อไปกับการเกริ่นนำชีวิตของพระเอกกับภรรยาพระเอกตลอด (ซึ่งนานมาก ๆ) ผมยังประติประต่ออะไรไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร เธอเป็นใคร ทั้งคู่ทำงานอะไร แต่รู้มาว่าทั้งคู่มี Something อะไรบางอย่างแค่นั้น บวกกับความเหนือยของการเล่าเรื่อย ๆ นิ่ง ๆ และภาพก็มืด ๆ มองไม่เห็นอะไรด้วย จึงเป็นส่วนที่ช่วยเร่งให้เกิดวูบหลับง่ายมาก แต่พอเข้าช่วงกลางเรื่อง กลับน่าสนใจขึ้นทันที ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโทนที่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือจากช่วงแรกเท่านั้น รวมถึงการเพิ่งขึ้น Title แนะนำ ! ซึ่งผมแปลกใจว่าไม่เคยมีเรื่องไหนทำได้แบบนี้มาก่อน Surprise มากส่วนตัวผมไม่เคยทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แม้กระทั่งดู Trailer ก็ตาม สิ่งที่ดึงความสนใจของผมได้ คือ ค่าย Documentary Club เป็นผู้จัดซื้อภาพยนตร์มาฉาย บวกกับเป็นค่ายหนังที่ผมชอบมาก ผมเชื่อใจได้ว่าต้องเป็นหนังดีแน่นอน แต่หลังจากดูจบผมรู้สึกประทับใจมาก สวยงามกว่าที่คิดเลย ตัวหนังใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง 59 นาที (ตีว่า 3 ชั่วโมง) ซึ่งนานมากสำหรับแนวนี้ (เกือบจะเท่า Avengers : Endgame (2019) แล้ว) ตอนที่ดูผมรู้สึกว่าบางมุมมีการผสมลูกครึ่งกับหนัง 2 เรื่องที่เคยดูมา อาทิ Paris,Texas (1984) = ความต่างของ 2 โทนมาเชื่อมต่อในเรื่องเดียวกัน กับ Burning (2018) = ในแง่การเชือดเฉือนอารมณ์ของตัวละครอย่าง พระเอก Hidetoshi Nishijima จาก Creepy (2016) , ภรรยาพระเอก Reika Kirishima จาก Norwegian Wood (2010) , ผู้สาวขับรถ Toko Miura จาก The girl in the sun (2013) หรือ ดาราหนุ่ม Masaki Okada จาก Confessions (2010) ที่ขิงกันไปขิงกันมาแทบจะทั้งเรื่องอย่างตุ ๆ หน้าตาแต่ละคนภายนอกดูสุขุมเฉยชาแต่ภายในกลับเร้าร้อนพร้อมแผดเผาในใจต่อกัน ซึ่งทุกคนแสดงดี เคมีดีต่อใจ มีปมความหลังหรือความลับแต่ละคนให้เล่นกันสนุก มี Scene ที่ปล่อยของออกมาได้โดยไม่โดนกลบ หรือ แย่ง Scene จากคนอื่นที่ร่วมเข้า Scene กันเลย ภาพรวมโทนคนละ Feel ความไม่ Smooth ตรงกันเหมือนถ่าย 2 เรื่องแล้วมาประกบเป็นเรื่องเดียวกันยังไงยังงั้นบางช่วงนอกจากองค์ 1 แล้วก็มีจุด Drop ไปบ้างบางช่วง แต่ผู้กำกับแกมีเทคนิคดีที่สามารถดึงศักยภาพของนักแสดงออกมาอุ้มการเดินเรื่องให้มีชีวิตชีวาขึ้น รวมถึงสามารถผูกปมเดิมซ้อนทับด้วยปมใหม่ทับอีกทีให้ซับซ้อนขึ้น แต่ก็เข้าใจง่าย แล้วยังสามารถเปลี่ยนทิศทางนำเสนอ Story ไปมาให้น่าติดตามต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยลืมดูเวลาไปทันทีอีกทั้ง Timeline ของหนังที่มีประเด็นหลักที่เข้าไปสำรวจใน Mindset ของตัวละคร แต่ด้วยการที่มี Story ของละครเวทีเป็นปมเสริมขึ้นมาผ่านการเดินทางด้วยรถยนต์คันเก่ง มันจึงดูกลายเป็นการเพิ่มระดับให้เล่นท่ายากขึ้นให้คนดูต้องใช้สมองทำงานมากขึ้นแต่ขณะเดียวกันเราจะตีความจากรูปธรรมจากสิ่งที่เป็นนามธรรมชัดเจนขึ้น ทั้ง Sex = การบำบัด / Famous = เหนือการควบคุม / Murder = การฆาตกรรม / Forgive = ละอายใจ เป็นต้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่เกิดบาดแผลในใจจากสภาวะทางสังคมที่โดน Effect จากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมอีกที บาง Scene ปล่อยภาพแบบ Cinematique ให้ภาพเป็นตัวเดินเรื่องแทนไปเปล่า ๆ บางช่วงใส่เข้ามากำกวมไปหน่อย คลุมเครือไม่ไหวติง ไม่รู้ว่าใส่เข้ามามีนัยยะอะไรหรือเปล่า ดูไปเกิดคำถามมากมายในหัวยันไปถึงตอนจบว่าจะออกมา Dark มั้ย หักมุมหรือเปล่า เทคนิคอีกอย่างที่ชอบคือ การใช้ตัวละคร 2 คน แต่มี 3 เสียง ในรถยนต์สีแดงที่วิ่งอยู่บนถนนคันเดียว เป็นตัวกลางสื่อสารซึ่งกัน ซึ่งฉลาดมากในการใช้ Situation จำกัดเชื่อมโยงในการ Blank ความรู้สึกของมนุษย์ให้ Response ร่วมกันจึงดู Original เป็นธรรมชาติมากPart ของละครเวที เสนอประเด็นหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรมมาก อาทิ การ casting คนเกาหลีแต่พูดภาษาอังกฤษ รวมถึงตัวเมืองฮอกไกโด หรือ ฮิโรชิม่า ก็ตาม แม้แต่นักแสดงหญิงเอเชียเป็นคนพิการเช่นกัน คือ เธอแสดงเก่งมาก แม้เธอจะไม่ใช่ตัวหลัก แต่เป็นส่วนสำคัญที่ดี ทำหน้าที่ชะล้างบาดแผลจิตใจให้แสงสว่างความหวังแก่ตัวละครได้ยอดเยี่ยม ยิ่งเฉพาะ Scene ละครเวทีนี้ Impact มาก ได้ใจผมไปเต็ม ๆ ผมไม่รู้ว่าแกจงใจให้เกิดความนานาชาติหรือมีอะไรกับเกาหลีกันตรง ๆ หรือเปล่า ซึ่งดูแล้วไปทางชอบ Massage นี้เลย ดูภูมิประเทศบ้านเขาสวยดี ได้เห็น texture ต่าง ๆ ที่สะท้อนต่อวิสัยทัศน์ของผู้กำกับอีกด้วย หนังไม่จงใจยัดเหยียดตรง ๆ ว่าจะให้เกิด Situation ตามสิ่งที่เราคิด จะมีเหตุการณ์ใหม่เข้ามาตลอด แต่เลือกมุ่งไปที่เจาะลึกใน Passion ของคนที่มีรัก โลภ โกรธ หลง อย่างนุ่มลึก ไม่ปรุงแต่งใด ๆ Keywords ที่แต่ละคน Speech สำคัญทุกคำ ทุกคำจะมีนัยยะแฝงทุกเม็ด มีเชิงสัญลักษณ์ให้ขบคิดตลอด ขณะเดียวกันก็กำกวมอยู่ ชวนให้สับสนว่า Dialogue นั้นพูดจริง หรือ โกหกกันแน่ ทุกคนมีเหตุผลรองรับในตัวเอง ผมประทับใจทุก Scene ที่แข่งกันกล่าว Dialogue ราวกับกวีอุปมาอุปไมยที่ตัวละครนำสนทนาร่วมกัน มันมีพลังอำนาจดึงดูด Passion ของแต่ละคนออกมาได้มีเสน่ห์ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด นั่นเอง อีกอย่างคือประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตจากความรัก ความเจ็บปวด จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดปมในใจขึ้นมา สิ่งที่ช่วยแก้ไขได้คือการเปิดใจรับฟังให้แต่ละคนศึกษาตัวตนต่อกันการสำนึกผิด ละอายใจที่เคยการกระทำด้วยการสารภาพบาปที่ค้างคา อย่างน้อยก็แค่เยียวยาจิตใจให้บรรเทาลง ระบายความอัดอั้นในใจออกมา ระยะทางไกลเท่าไหร่ไม่เป็นไร ยังไงถึงปลายทางเราจะได้พักผ่อนกันอยู่ดี ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share รีวิวของผม EMCONCEPT และ หนังที่รีวิวใน Facebook ชื่อ EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไปกันด้วยครับ ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย :Facebook / 映画『ドライブ・マイ・カー』drivemycar.mv = ภาพประกอบหน้าปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8 / ภาพประกอบที่ 9จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !