Estonia (เอสโตเนีย) ไปทำอิหยังวะ? EPISODE 1 สวัสดีค่า วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์การไปเที่ยวประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในทวีปยุโรป ที่มีชื่อเสียงเรียงนามแสนจะไม่คุ้นหูคนไทย ที่มีชื่อว่า "เอสโตเนีย" หลายคนเมื่อได้ยินชื่อของประเทศนี้แล้ว ก็จะต้องนึกอยู่แป๊บนึง นึกไปนึกมาก็จะประมาณว่า "เอสโตเนีย ประเทศอิหยังวะ?" อย่าเศร้าใจไป คุณไม่ใช่คนแรกที่ไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อของประเทศแห่งนี้ เพื่อนของเราหลายคนก็อิหยังวะเช่นเดียวกัน คำถามที่เจอบ่อยก่อนเดินทาง เมื่อบอกเพื่อนว่าจะไปประเทศนี้ เอสโตเนียเนียคือชื่อประเทศเหรอ? มันอยู่ทวีปไหนวะ? ไปทำอะไรที่เอสโตเนีย? อืม ก็ประมาณนี้แหละ เอาล่ะ ในเมื่อยังไม่ค่อยมีใครรู้จักประเทศนี้สักเท่าไหร่ งั้นก่อนจะเริ่มเล่าเกี่ยวกับทริปในครั้งนี้ เรามาเริ่มกันที่ข้อมูลทั่วไปของประเทศนี้สักเล็กน้อย พอให้ทุกคนได้รู้จักเอสโตเนียคร่าว ๆ (สาระไม่มาก เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยมีสาระ แฮ่! ไม่ใช่) ประเทศเอสโตเนีย หรือว่า Eesti (อ่านว่า เอสติ) ที่ชาวเอสโตเนียนเขาใช้เรียกชื่อประเทศของตัวเองนั้น เป็นเทศขนาดเล็กในทวีปยุโรป และอยู่ในกลุ่มประเทศ EU มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน ใช่แล้วค่ะ ประชากรของที่นี่รวมกันทั้งประเทศน้อยกว่าบางจังหวัดในประเทศไทยเสียอีก มีพื้นที่ทั้งหมด 45,227 ตารางกิโลเมตรด้วยกัน ซึ่งเล็กมากจริง ๆ แค่พื้นที่ของจัวหวัดนครราชสีมาแค่จังหวัดเดียว ก็เทียบเท่ากับพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศนี้แล้ว เรามาดูแผนที่กันหน่อยดีกว่า เพื่อให้ที่ตั้งของเอสโตเนียชัดแจ๋วมากขึ้น ประเทศนี้มีชายแดนติดกับประเทศลัตเวีย ซึ่งเราสามารถขับรถยนต์หรือนั่งรถทัวร์จาก Tallinn ที่เป็นเมืองหลวงของเอสโตเนียไป Riga ซึ่งเป็นเมืองหลวงของลัตเวียได้ ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร อารมณ์ประมาณขับรถข้ามจังหวัดดี ๆ นี่เอง และที่สำคัญไม่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองกั้นระหว่างชายแดน คนทั้งสองประเทศนี้สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้แบบหายห่วงค่ะ ส่วนชายแดนที่ติดกับรัสเซียนั้น คนของประเทศเอสโตเนียจะสามารถข้ามไปทางฝั่งรัสเซียได้ เมื่อมีวีซ่าในการเข้าประเทศค่ะ แต่มิต้องเป็นกังวลไป เราคนไทยสามารถนั่งรถทัวร์ข้ามไปรัสเซียได้สบายหายห่วง (แอบกระซิบนิดนึงว่าเมื่อก่อนเอสโตเนียนั้นเป็นเมืองขึ้นของสหภาพโซเวียต และเพิ่งจะได้รับอิสระภาพจากรัสเซียเมื่อ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 หรือประมาณ 30 ปีที่แล้วนี้เอง) นอกจากลัตเวีย และรัสเซียแล้ว อีกประเทศหนึ่งที่จัดเป็นประเทศเพื่อนบ้านและมีภาษาที่เกือบสื่อสารกันรู้เรื่อง เช่นเดียวกับไทยและลาว ก็คือ ประเทศฟินแลนด์นั่นเองค่ะทุกคน โดยระยะห่างของทั้งสองประเทศที่มีทะเลบอลติกกั้นกลางนั้น อยู่ที่ประมาณ 80 กิโลเมตรเท่านั้น หากใครอยากสัมผัสประสบการณ์ล่องเรือข้ามจาก Tallinn ไปเที่ยว Helsinki เมืองหลวงของฟินแลนด์ ก็สามารถซื้อตั๋วเรือเฟอร์รี่นั่งชิวๆ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็เหยียบแผ่นดินฟินแลนด์แล้วค่ะ (เรือแล่นนุ่มมาก เราหลับยาวตลอดทางเลย) เราไม่ค่อยแน่ใจเรื่องค่าตั๋วเรือ เพราะซื้อตั๋วช่วงโปรโมชั่นของบริษัท Viking Line เรือชื่อ Viking XPRS ราคาที่ซื้อตอนนั้นก็ประมาณ 9 - 10 ยูโร หรือ 300 - 370 บาทโดยประมาณ ได้ทำความรู้จักประเทศเอสโตเนียกันไปแล้ว คราวนี้เราก็จะได้มาเข้าเรื่องของเรากันเสียที ทริปการเดินทางท่องเที่ยวเอสโตเนียของเรานั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2019 เราบินจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปลงที่ Stockholm ประเทศสวีเดน จากนั้นก็ต่อเครื่องไป Tallinn ประเทศเอสโตเนีย ไม่อยากจะเล่าแต่ก็ต้องเล่าเพื่ออรรถรส เราเกือบเป็นลมบนเครื่องจากสวีเดนไปเอสโตเนีย เพราะในห้องโดยสารร้อนมากแม่ เหมือนเครื่องบินลืมเปิดแอร์ เหงื่องี้ไหลเต็มหลัง ดีแค่ไหนแล้วที่เป็นไฟลท์ระยะสั้นประมาณหนึ่งไม่เกินสองชั่วโมงเท่านั้น จำได้เลยอิสายการบินเขียวสดใสเหมือนโลโก้ไลน์ เป็นประสบการณ์นั่งเครื่องบินที่สุด ๆ แต่ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องบินของเรายังไม่จบแค่นี้ค่ะทุกคน แต่จะมีอะไรต่อต้องรอติดตาม อยากให้อ่านจนจบ ฮิ้ว~ หลังจากถึง Tallinn เมืองหลวงของเอสโตเนียก็มีคนมารับค่ะ เรามีคนรู้จักอยู่ที่นั่นจึงได้ไปพักที่บ้านของคนรู้จัก ประหยัดค่าที่พักแบบสวย ๆ (ขยิบตาปิ๊ง ๆ) บ้านของคนรู้จักของเราอยู่ในเมือง Haapsalu (อ่านว่า ฮัปซาลุ) ห่างจากเมืองหลวง 98.7 กิโลเมตร เมื่อถึงที่พักก็ค่ำพอดี เราจึงไม่ได้ทำอะไรมากนักในวันแรก เหนือสิ่งอื่นใดเราไปที่นั่นช่วงฤดูร้อนค่ะ แต่อากาศตอนกลางคืนหนาวเอาเรื่อง บ้านของคนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่มีแอร์และพัดลมค่ะ มีแต่ฮีทเตอร์ ถ้าอยากนอนเย็นฉ่ำ ๆ ตอนกลางคืนก็ง่ายมาก เปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศสดชื่น ตื่นเช้ามาก็น้ำมูกไหล และคอแห้งผากไปตามระเบียบ อันนี้จริง ๆ เลย ไม่ได้โม้ (ถ้าแก่ เอ๊ย วัยรุ่นหน่อยก็คงรู้จักวลีไม่ได้โม้ ของนักมวยท่านหนึ่ง) *** นอนพักเอาแรงเรียบร้อย ก็ถึงเวลาตอบคำถาม ตกลงเรามาทำอะไรในเอสโตเนีย*** 1. ไป Haapsalu Town ไปตามหาเม่นแคระ กิจกรรมแรกที่เราได้ทำ ในเช้าวันที่สองของการเหยียบแผ่นดินเอสโตเนีย ก็คือ... ปั่นจักรยาน ใช่ค่ะ หลังจากที่ไม่เคยได้ปั่นจักรยานมากว่าสิบปี ก็ประเดิมครั้งแรกในรอบทศวรรษกันเบา ๆ ด้วยการปั่นรอบเมือง ประมาณ 15 กิโลเมตรเบา ๆ รวมไปกลับ (แค่คิดถึงก็เจ็บก้น) เราจำได้ว่าหลังจากปั่นจักรยานเสร็จวันนั้น ก็ถึงกับนั่งก้นติดพื้นแทบไม่ได้ไปสามสี่วัน มันเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน ในรูปข้างล่างนี่ที่ไม่ปั่นต่อ เพราะอาการเริ่มมาละ นั่งไม่ได้ แต่ก็นะ ใครมันใส่กางเกงยีนไปปั่นจักรยาน (ได้โปรดอย่าใส่ใจ) บรรยากาศภายในเมือง Haapsalu และรอบเมืองนั้นค่อนข้างเงียบ นานครั้งกว่าจะเห็นรถผ่านตามถนนสักคัน หากไม่เข้าไปในตัวเมือง หรือถนนใหญ่ ลองนึกภาพขี่จักรยานท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้ และต้นไม้ที่บานช่วงฤดูร้อน มันดีมากจริง ๆ ตลอดทางเราได้กลิ่นหอมของดอกไม้หลายชนิด ผสมลอยตามกันมาในอากาศเป็นระยะ ฟินมากระดับสิบ อีกทั้งยังได้เห็นการใช้ชีวิตของผู้คน ที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี้ระหว่างการปั่นจักรยานอีกด้วย ทุกคนเห็นขวดน้ำที่อยู่บนที่นั่งด้านหลังมั้ย นั่นเราแวะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อมา เอ๊ะ บอกทำไม จะบอกว่าการที่เราเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ทำให้ได้รู้จักคำทักทายสุดคูลมาล่ะ (คูลสำหรับเรา คนอื่นมิรู้คูลมั้ยหนอ) นั่นก็คือ "Tere!" อ่านว่า เต๊ะร่า แปลว่า Hello หรือ สวัสดีนั่นเอง หากได้ไปก็อย่าลืมลองพูดทักทายกับแคชเชียร์วัยสาวเหลือน้อยในร้านค้าต่างๆ ดูนะคะ รับรองจากที่หน้าบึ้งตึงคล้ายคนอมทุกข์ จะต้องเผยยิ้มออกมาบ้างล่ะ ที่จริงแล้ว Haapsalu ยังมีสถานที่น่าเที่ยวอีกหนึ่ง ที่นั่นก็คือ Haapsalu Linnuse Muuseum หรือ Haapsalu Linnuse Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จากเดิมที่เคยเป็นโบสถ์ และที่อยู่ของบาทหลวงมาก่อน ตอนนี้ถึงแม้จะสร้างพิพิธภัณฑ์เพิ่มขึ้นมา แต่ก็ยังคงมีโบสถ์อยู่เช่นเดิม และอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่มาพร้อมกับปราสาทแห่งนี้ ซึ่งถ้าไปเยือน Haapsalu แล้วต้องฟังหรืออาจจะโชคดีได้เห็น คือ White Lady ตำนานผีสาวอันโด่งดังของเมือง ที่จะออกมาให้เห็นในช่วงคืนพระจันทร์เต็มดวง ของเดือนสิงหาคมผ่านหน้าต่างบานหนึ่งของประสาท ซึ่งเราก็จำไม่ได้ว่าอยู่ที่หน้าต่างบานไหน ว่ากันว่าเธอผู้นี้และบาทหลวงท่านหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในปราสาท ซึ่งเมื่อก่อนห้ามผู้หญิงเข้าเด็ดขาด ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองก็ร่วมมือกัน เพื่อปลอมตัวให้ฝ่ายหญิงกลายเป็นผู้ชาย เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน แต่โชคไม่ดีที่โดนจับได้ ฝ่ายหญิงจึงถูกจับฝังไว้ในกำแพง และจบโศกนาฏกรรมน่าเศร้าลง น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปเยือนที่นั่นในเดือนสิงหาคม จึงไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ก็ได้เข้าไปเดินดูรอบ ๆ พิพิธภัณฑ์และโบสถ์ ค่าเข้าชมก็จะอยู่ที่ 10 ยูโรต่อคน ประมาณ 370 บาท แต่ถ้าเป็นนักศึกษาคุณสามารถโชว์บัตรนักศึกษาเพื่อขอราคานักเรียนได้นะคะ ราคาก็จะอยู่ที่ 5 ยูโรต่อคน หรือประมาณ 190 บาท ลดลงมาเกือบครึ่งแน่ะ เหนือสิ่งอื่นใด หากคุณได้มีโอกาสไปเยือน Haapsalu หรือแม้แต่ Tallinn ประเทศเอสโตเนีย อย่าลืมก้มลงสังเกตตามพื้นหญ้า พื้นถนน หรือแม้แต่เกาะกลางถนนเมื่อคุณออกมาเดินกินลมชมวิวในตอนค่ำแล้วคุณจะไม่พลาดเจ้าสัตว์โลกแสนน่ารัก เม่นแคระตัวอ้วนกลมหนามแหลม ซึ่งสามารถพบมันได้ทั่วไปในทุกมุมเมืองของเอสโตเนีย 2. ไปเที่ยว Raba หรือ Bog (ป่าพรุ ที่ลุ่มน้ำขัง) การมาเอสโตเนียแล้วไม่ได้ไปเที่ยวป่าพรุของที่นี่ ถือว่าทริปยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว ป่าพรุของที่นี่จะแตกต่างกับที่ไทย พืชส่วนใหญ่ที่ขึ้นในบริเวณป่าพรุ จะเป็นต้นสนขนาดเล็กแต่อายุไม่เล็ก บางต้นอาจจะมีอายุหลายร้อยปีเลยทีเดียว ทั้งยังมีมอส ต้นหยาดน้ำค้าง และเบอร์รี่บางชนิด เช่น คลาวด์เบอร์รี่เป็นต้น ทริปนี้เราไปมา 2 ที่ด้วยกัน Merimetsa Raba เป็นป่าพรุที่อยู่ใกล้เมือง Haapsalu ในเขต Lääne มีทางเดินทอดยาวเข้าไปในป่าจนถึงบริเวณทะเลสาบขนาดเล็ก ที่เราสามารถกระโดดลงไปว่ายน้ำได้ แต่น้ำอาจจะเย็นไปสักหน่อย ถึงแม้จะอยู่ในฤดูร้อนก็ตามที สามารถเดินทางโดยรถบัส Tallinn - Haapsalu ถ้ามาจากเมืองหลวง Tuhu Raba เป็นป่าพรุอีกแห่งหนึ่ง อยู่ในเขต Pärnu ห่างจาก Haapsalu ประมาณ 75 กิโลเมตร มีทางเดินที่รองด้วยไม้ และมีหอชมวิวที่สร้างจากไม้ เมื่อขึ้นไปจะเห็นพื้นที่ของป่าพรุกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา การเดินทางไปป่าพรุแห่งนี้จำเป็นจะต้องใช้รถส่วนตัว เพราะอยู่ลึกเข้าไปในถนนลูกรัง ไม่มีรถประจำทางผ่าน 3. ไปเดินตะลอนป่า เก็บสตรอว์เบอร์รี่ ฮักเคิลเบอร์รี่ และชมกล้วยไม้ดินที่ Liivanõmme õpperada เขต Nõva การเดินป่าที่นี่จะมีป้ายบอกทาง และทางเดินให้นะคะ ไม่ได้เดินงมเหมือนประเทศไทยที่ต้องมีไกด์ไปด้วย การเดินในช่วงแรกนั้นจะเต็มไปด้วยต้นไม้สูง และสนหลายประเภท และหากสังเกตข้างทางดี ๆ ก็จะเห็นกล้วยไม้ดินขึ้นตามรายทางประปราย เมื่อเดินลึกเข้าไปก็อาจจะเจอเข้ากับต้นสตรอว์เบอร์รี่ป่า ที่มีลูกเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย กลิ่นหอม และรสชาติหวานละมุนให้ได้เก็บทาน แต่ช่วงที่เราไปนั้นรู้สึกว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูของสตรอว์เบอร์รี่ป่าพอดี จึงมีให้ได้เห็นไม่เยอะ นอกจากสตรอว์เบอร์รี่และกล้วยไม้แล้ว วิวทิวทัศน์ยังงดงามมากอีกด้วย แสงแดดช่วงเย็นก่อนตะวันตกดิน ทำให้ป่าสนโดยรอบคล้ายเรืองแสงสีทองได้ มีกลิ่นใบสนลอยมาตามลม ทำให้เราชอบป่าที่นี่มาก ๆ อีกหนึ่งผลไม้ประเภทเบอร์รี่ ที่คุณจะเจอเมื่อเดินเข้ามาภายในป่าแห่งนี้ คือ ฮักเคิลเบอร์รี่ที่เป็นญาติของบลูเบอร์รี่ และรสชาติเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ฮักเคิลเบอร์รี่จะลูกเล็ก และพุ่มเตี้ยกว่าบลูเบอร์รี่มาก ต้นของฮักเคิลเบอร์รี่นั้นจะเป็นพุ่มสูงประมาณเข่า และมักขึ้นอยู่ตามป่าสนที่มีมอสปกคลุมพื้นทั่วบริเวณจากที่เราสังเกต สำหรับวันนี้ก็ขอปิดท้ายไว้ด้วยภาพของเจ้าฮักเคิลเบอร์รี่ต้นฤดู ที่เราเก็บได้จากป่า Nõva Parish ก็แล้วกันนะคะ Tsau! อ่านว่า ชาวส์ แปลว่าบ๊ายบาย หรือจะเป็นสวัสดีก็ได้เช่นกันค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้า :) ภาพประกอบโดย: ThisaraM ขอบคุณแผนที่จาก Google map เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !