ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 48 นาทีที่เสิร์ฟความบันเทิงได้อย่างเดียว ถ้าจะหาสาระความรู้ในประวัติศาสตร์บ้านเมืองล่ะก็เลิกหวังได้ทันที เพราะเรื่องนี้เป็นหนังสงครามที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นที่เคยดูมา ปกติหนังสงครามมี Paragraph การเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การเอาชีวิตรอด ความเครียดจากการต่อสู้รบอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้น่าเสนอแบบ Bad Comedy ไม่แคร์สื่อ ขณะเดียวกันมี Part ดราม่าเรียกน้ำตา และ ฉากสะเทือนใจในช่วงท้ายมุกตลกต่าง ๆ คือความด้นสดจากท่าทางกิริยาตัวฮิตเลอร์ ที่แสดง และ กำกับโดย Taiki Waititi นักแสดง และ ผู้กำกับสุดเกรียนแห่งยุคจาก THor 3 : Raknarok (2017) มารับจ๊อบเป็น ฮิตเลอร์ ทหารนาซีที่ขึ้นชื่อว่าโหดเลือดเย็นที่สุดกลายมาเป็นทหารติงต๊อง ลบภาพจำที่นักปฎิวัติทรราชทั้งหมด จนแอบคิดว่าถ้าฮิตเลอร์ในอีกมุมนึงที่ไม่ใช่ทหารบ้าอำนาจก็จะเป็นอย่างนี้แหละ แค่ทำหน้าเฉย ๆ ก็ฮาขี้แตกแล้ว มุกตลกเสียดสีต่อระบบเผด็จการ นาซี และผลพวงของสงครามเป็นระยะ รวมถึงนักแสดงทุกคนเล่นดีเยี่ยมทั้ง 1.) Scarlett Johannson จาก The avengers saga (2012 , 2015 , 2018 , 2019) , Her (2013) รับบทเป็นแม่ตัวเอก บทมีไม่มากแต่ Support เรื่องราว และ ความแม่เต็มที่ 2. Sam Rockwell จาก Moon (2009) , Three Billboards outside Ebbing , Missouri (2017) มาเป็นบททหารโชว์อ๊อฟที่ทำได้ทั้งน่าเกรงขาม และ ฮาด้วยกัน แถมเป็นผู้ปกครองของน้องด้วย 3. Thomasin Mckenzie จาก Leave no trace (2018) , The king (2019) ผู้หลบภัยชาวยิว ตัวแปรหลักสำคัญอีกคนที่สวย น่ารัก พร้อมเคียงข้างไปกับตัวเอก และ 4. น้องตัวเอกของเรื่อง Roman Griffin Davis ผลงาน Debut เรื่องแรกที่แสดงได้น่ารัก น่าเอ็นดู แถมมีความแสบ เด็กน้อยอ่อนต่อโลก เคมีเข้ากับนักแสดงรุ่นพี่ทุกท่านมาก แต่ถึงมีฉากตลก ไร้เดียงสา แต่บรรยากาศในเรื่องไม่สามารถปฎิเสธในฉากความรุนแรงของการต่อสู้อาวุธปืน ระเบิด รถถัง การแขวนคอนักโทษ และ แนวคิดที่ถูกตีกรอบจากระบบได้เลย ซึ่งนำเสนอ ถ่ายทอดได้ดี สร้างความสะเทือนใจได้อยู่ โลเคชั่น เสื้อผ้า ทรงผม ทำการบ้านมีความประณีต และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงได้ยอดเยี่ยมสมแล้วที่ได้รางวัล Oscar ไปครอง นำเสนอฉากมุกตลกมากเกินไปจนบางทีไม่ได้ใสใจในประเด็นของสงคราม ทั้ง ๆ ที่เป็นหัวใจหลักของหนังประเภทนี้เลย คือ ประเด็นมันมีอยู่แล้ว เช่น ความเชื่อ สังคม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนในปัจจัยความเป็นมนุษยชน บางฉากยังดูไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ ยังมีคำถามถึงปมปัญหา การกระทำของตัวละครบางคนว่าใช่ในสิ่งที่เราเข้าใจหรือไม่ คือ หายไปช่วงหนึ่งพอโผล่มาอีกทีเปลี่ยนไปฉากอื่นซะแล้ว ซึ่งเข้าใจแหล่ะว่ามันล้อเลียนหนัง Genre นี้ ผมว่าถ้าลงรายละเอียดนี้ไปจะทำให้ตัวหนังมีมิติมากขึ้นเรื่องอัตลักษณ์ ตัวตน และความฝันจะเห็นว่าในเรื่องพระเอกใฝ่ฝันอยากจะเป็น ฮิตเลอร์ เพราะฮิตเลอร์เป็นพระเอกในอุดมคติ ตัวแทนของผู้มีอำนาจในชาวนาซี ซึ่งก็เหมือนกับเราอยากเป็นซุปเปอร์แมน อยากเป็นทหาร เป็นตำรวจ ทุกคนมีสิทธิ์ฝัน ความฝันคือความทรงจำที่เรายังเป็นเด็ก เป็นสิ่งที่สวยงาม ความฝันไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เหมือนกับคนอื่นว่าเราฝันว่าอยากเป็นอย่างนี้ แล้วคนอื่นมองว่ามันไม่ดี มันไม่เกี่ยวกัน มันอยู่ที่มุมมอง และความตั้งใจของเรา เป็นตัวของตัวเราเองดีที่สุด ใครจะคิด จะมองยังไงก็เป็นสิทธิ์ของเขา สิ่งที่สำคัญคือ เราสามารถทำตามความฝันที่วางไว้หรือเปล่า ถ้าตั้งใจไว้ก็เดินหน้าต่อไปให้ถึงจุดหมายแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตมุมมองด้านสังคม การเมืองนี้จะเห็นว่าในเรื่องจะมีฉากมุมตลกมากมาย แต่ยังไงก็กลบภาพของความป่าเถื่อนของสงครามไม่ได้หรอก คือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ หรือ เด็ก ล้วนเป็นเหยื่อของแนวคิด กระบวนการทางสงครามตามความเชื่อของคน ๆ เดียวทั้งสิ้น แนวคิดหนึ่งมันมีอิทธิพลต่อการปกครองสังคมได้เต็มรูปแบบ ทั้งความรู้ ความคิดถูกอบรมให้รู้ ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าแนวคิดนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง ใครเห็นต่าง รู้มากกว่าจะถูกประณาม ถูกตัดสินลงโทษถึงแก่ความตายได้ แล้วยิ่งสมัยก่อนที่ไม่มีสื่อ Social Network เหมือนในปัจจุบันนี้ ทุกวินาทีในการใช้ชีวิตมีแต่ความหวาดกลัว ความเป็นความตาย การไร้อิสรภาพในการใช้ชีวิตในสิ่งที่อยากที่จะเป็น สงคราม การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ในความขัดแย้งของอำนาจ ที่ตัดสินด้วยผลแพ้ชนะของพวกผู้มีอำนาจทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ หน่วยงานองค์กร โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน สมัยก่อนการทำสงครามจะต่อสู้ด้วยอาวุธ ยุโธปกรณ์เป็นเครื่องมือ ต้องใช้เงินมหาศาล ต้องมีอำนาจด้วยจะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอื่นอีกที ฝ่ายไหนมีกำลังมากกว่าก็ชนะ ฝ่ายไหนแพ้จะถูกฆ่าตาย โดนยึดดินแดน และ ถูกจับเป็นเชลย แต่สมัยนี้เขาต่อสู้ด้วยเทคโนโลยี สื่อ Social เป็นเครื่องมือที่ลงทุนต่ำ แต่การทำงานเชื่อมต่อเครือข่ายไปได้ทุกที่ สะดวกสบายอีก แถมพลังอานุภาพร้ายแรงไม่แพ้ระเบิดปรมาณูทีเดียว อย่างเช่น การถ่ายคลิปคนร้ายข่มขืนผู้หญิงแล้วโพสต์ลงใน Facebook ใน Youtube เมื่อคนเห็น คนก็แชร์คลิปส่งต่อไปเรื่อย ๆ แชร์ต่อไม่พอแถมได้รับการด่า การประณามส่งแช่งจนกลายเป็น การ Bully ขึ้นในสังคมออนไลน์ จนคนร้ายถูกกดดันจากสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาเกิดคิดสิ้นฆ่าตัวตายได้ในที่สุด แล้วเป็นการประกาศชัยชนะต่อการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมของกฎหมายด้วยพลังมนุษย์ยุค Cyber อย่างแท้จริง จะเห็นว่า ไม่ว่าสงครามรูปแบบไหนมีเรื่องของผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง การเมืองเป็นเบื้องหน้าภาพลักษณ์ของความศิวิไลซ์ให้ดูสวยหรู ดูน่าเชื่อถือแต่เบื้องหลังเป็นเกมมืดของพวกผู้มีอำนาจทั้งหลาย ทั้งนักการเมือง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ที่พร้อมทำทุกวิธีทางเพื่อให้ตนเองมีอำนาจใหญ่ที่สุด คอยตักตวงผลประโยชน์ที่ได้จากเงินคลัง เงินภาษี สวัสดิการที่เอื้ออำนวย การควบคุมแทรกแซงหน่วยงานในการจัดตั้งกฎหมายขึ้นมาเอง คือ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตนเองได้มากที่สุด ขอแค่ประชาชนเชื่อฟัง ปฏิบัติตามก็พอ กลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศ คือ การจัดการ การวางแผนกลยุทธ การตัดสินใจ และ การลงมือทำ ควบคู่ไปกับการพัฒนาความรู้ ความคิด ให้เข้าใจต่อเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน รวมถึงปราบการทุจริต การคอรัปชั่น การใช้กฎหมายตัดสินด้วยความถูกต้อง ทั้งนี้ก็เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าด้วยความมั่นคง ยั่งยืน และยุติธรรมได้ด้วยความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจของคนในชาติขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่าน หรือ รับชมแล้ว ขอฝากกด Like กด Share รีวิวของผม EM Pascal กันนะครับ ขอขอบคุณรูปภาพประกอบโดย :Facebook 20th Century Studios = ภาพประกอบหน้าปก / ภาพประกอบที่1 / ภาพประกอบที่3 / ภาพประกอบที่4 / ภาพประกอบที่5twitter Jojo Rabbit = ภาพประกอบที่2 / ภาพประกอบที่6จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !