The Eyes of My Mother : แก้วตาในดวงใจในขณะที่เด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ Francesca กำลังเรียนรู้งานจากแม่ของเธออยู่ในบ้านนั้น ได้มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งอ้างว่าเป็นเพื่อนกับพ่อ ได้บุกรุกเข้ามาทำร้ายทั้ง 2 คน กระทั่งเมื่อพ่อของเธอกลับมาพบว่าแม่ได้เสียชีวิตแล้ว จึงบันดาลโทสะจัดการซ้อมเตะชายแปลกหน้าจนบาดเจ็บสาหัส และได้ลากไปขังไว้ในโรงนา โดยมี Francesca คอยดูแลอยู่เรื่อย ๆ โดยหารู้ไม่ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความสยองเหนือจินตนาการ ณ บัดนี้ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมง 16 นาที ถือว่าสั้นมากสำหรับความยาวของหนังเรื่องหนึ่ง เทียบเท่ากับหนังสารคดีก็ว่าได้ ตอนที่ดูรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมมันยืดยาวเกินจัง คิดว่าเมื่อไหร่จะจบซะที คือการเล่าเรื่องน่าติดตามแหล่ะ แต่เดินเรื่องช้าไปหน่อย ส่วนหนึ่งคือการไม่มี Sounds เสริมเข้าไป ยิ่งเงียบเป็นป่าช้าเข้าไปอีก แถมลดทอนความน่าติดตามของเนื้อหาไปอย่างมาก ข้อดีที่มีภาพเป็นขาว-ดำทั้งเรื่องช่วยทำให้ดูลึกลับ น่ากลัว แต่ก็มิวายดันไปบดบังทัศนียภาพแวดล้อมค่อนข้างมากเช่นกัน เราจึงต้องใช้สมาธิในการศึกษา Details ต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง Location จะมีแค่บ้านนางเอกหลังเดียวทั้งเรื่อง ซึ่งใช้งานได้คุ้มดี ทำให้เรารู้ว่านางเอกกิจวัตรประจำวันทำอะไรบ้าง เพราะหนังโฟกัสไปที่ตัวนางเอกเป็นหลักนั่นแหล่ะ บรรยากาศในเรื่องโทน Feel พีเรียดชนบท ผมไม่รู้ว่าเกิดขึ้นช่วงเวลาปีใด เพราะจากการสังเกตก็ไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย นอกจาก โทรทัศน์ กับ โทรศัพท์บ้าน ก็อนุมานว่าอยู่ในยุคพีเรียด ขณะเดียวกันงานภาพขาว-ดำ ก็มีคงความเก่าแก่สไตล์ Gothic ชวนให้อารมณ์นึกถึงหนังเงียบยุค 40 นั่นเองการเดินเรื่องแบ่งเป็น 3 Parts แต่ละ Part จะเดินหน้าตรงดิ่ง มีแวะข้างทางนิดหน่อย โดยPart 1 : Mother = กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับนางเอก เหมือนเป็นเมล็ดพืชเม็ดเล็กที่กำเนิดขึ้นในดิน กับ การปรากฏตัวของชายแปลกหน้า ก็เปรียบเป็นสารเร่งให้เมล็ดพืชเจริญเติบโตขึ้นPart 2 : Father = เล่าถึงชีวิตวัยสาวของนางเอกท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางสถานะทั้งตัวพ่อ, ชายแปลกหน้า หรือ เพื่อนสาว เปรียบเป็นต้นไม้ที่โตเต็มที่ พร้อมรอวันปฏิสนธิPart 3 : Family = พูดถึงความสัมพันธ์ของนางเอกกับลูก โดยมีหญิงคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง เปรียบกับต้นไม้ที่ปฏิสนธิกับต้นไม้อื่นจนผลิดอกออกเป็นที่เรียบร้อยซึ่งทั้ง 3 Parts นี้ Main หลักจะเล่าถึงพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจตามอายุวัยของนางเอกไปตั้งแต่เด็กจนยันสาวไปทีละ Step ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ พัฒนา Skill การฆ่าของนางตาม Levels วิธีการจากเด็กไร้เดียงสาไปจนถึงฆาตกรสาววิปริตที่ฉลาดเกินมนุษย์มนา หรือว่า เหยื่อโง่เกินกันแน่ ซึ่งได้นักแสดงสาว Kika Magalhaes จาก The girl in the backseat (2022) มารับบทดังกล่าว ซึ่งเจ๊แสดงได้น่ากลัวมาก ถ่ายทอดความซับซ้อนในจิตใจ และ บุคลิกภายนอกทั้ง เก็บกด โรคจิต ซาดิสม์ ในคนเดียวกันได้ละเอียดถี่ถ้วน ส่วนตัวละครท่านอื่น อาทิ Will Brill จาก Unsane (2018) รับบทเป็น โจรปล้นบ้านนางเอก , Paul Nazak จาก Piercing (2018) , Diana Agostini จาก The Irishman (2019) รับบทเป็นพ่อกับแม่ของนาง และ Olivia Born จาก A kid like Jake (2018) รับบทเป็น นางเอกวัยเด็ก แสดงดี มีส่วนช่วย Support เติมเต็มให้นางเอกมีพัฒนาการเติบโตแบบก้าวกระโดดออกไปเห็นได้ชัด แม้จะเหตุแรงจูงใจของการกระทำของนางจะถลำลึกมากจนขาดความน่าเชื่อถือเกินกว่าจะรู้สึกสงสาร หรือ ให้อภัยเสียแล้วก่อนดูเรื่องนี้ ผมดูภาพโปสเตอร์ก็นึกว่าแนวผีหลอกวิญญาณหลอน แต่ไม่ใช่ มันเป็นหนังประเภท Horror ที่เสริมความเป็น Drama แทรกประเด็นครอบครัวเข้าไปอีกที ซึ่งผลงานกำกับเรื่องแรกของ Nicholas Peace จาก Piercing (2018) และ The Grudge (2020) ที่อยู่ในระดับกลาง แม้จะเดินเรื่องอืดอาดไป ฉากหวาดเสียวมีน้อยมาก แต่ยอมรับว่าถ่ายทอดบรรยากาศความว่างเปล่า หม่น ๆ ชวนอึดอัดดี สำรวจประเด็นความสัมพันธ์ในโครงสร้างของครอบครัวได้น่าหดหู่ไปกับสภาพสังคมที่ไม่เอื้อให้ผู้หญิงมีสิทธิแสดงออกเท่าเทียมกับชายเท่าไหร่ เหมือนผู้กำกับคงไม่อยากปล่อยภาพน่ากลัวออกให้ดู กลับเลือกปล่อยให้คนดูจินตนาการกันเอาเองต่อ สำหรับผมแอบขัดใจหน่อยว่าทำไมไม่ใส่เหล่านี้ไปด้วย ไม่ใช่ว่าผมชอบเสพติดความรุนแรงแต่ถ้านำเสนอเป็นรูปธรรมจะน่าสนใจมากกว่านี้ บทสรุป Part 3 ชวนลุ้นเอาใจช่วยเหยื่ออยู่จะหนีไปยังไง แต่รีบตัดจบเกินจนอารมณ์ผมค้างคาใจซะงั้น อยากเห็นภาพมากว่าชะตากรรมของตัวละครแต่ละคนจะเป็นอย่างไรต่อ ผมนี้เสียอารมณ์ชะมัดประเด็นที่พูดถึง คือ เรื่องครอบครัว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นางเอกเป็นฆาตกร โดยมีสภาพแวดล้อมทางสังคมเป็นตัวผลักดันตาม จะเห็นว่าครอบครัวนางเอกค่อนข้างปัญหา เนื่องจากพ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน ออกไปทำงาน แม่ก็หมกมุ่นกับงานชำแหล่ะซากสัตว์ สอนให้นางเอกเรียนรู้วิธีการต่าง ๆ เพราะคิดว่าเป็นแค่งานอดิเรกประจำวัน หารู้ไม่ว่านั่นคือการบ่มเพาะความรู้สึกในการทำลายลงไปในจิตสำนึกไม่รู้ตัว บวกกับรอบบ้านมีแต่ทุ่งหญ้าโล่ง ๆ ป่าทึบ ๆ ไร้เพื่อนบ้าน ขาดการติดต่อจากโลกภายนอกอีก ทั้งหมดจึงหลอมรวมให้กลายเป็นการเก็บสะสม ความกดดัน เกิดเป็นความเครียดและเป็นส่วนผสมของการสร้างความรุนแรงขึ้นตามมา ดังนั้นวิธีจัดการ คือ การให้ความรัก ความผูกพัน สร้างความความเข้าใจระหว่างพ่อ แม่ ลูก ในแบบที่พอดี เปิดโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้สึกทุกฝ่ายซึ่งกัน สนทนากันเป็นเพื่อน ไม่ใช่การวางสถานะตนเองมาวางบาตรใหญ่ กำหนดบงการชีวิตลูกทุกอย่าง แบบนี้ไม่เอา เปิด Space ลดอีโก้ลงเพื่อได้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ เช่น เล่นฟุตบอล , ขี่จักรยาน หรือ ว่ายน้ำ ดีกว่า แล้วคำนึงถึงจุดประสงค์ให้ลูกเป็นคนดี มีภูมิคุ้มกันที่ดี สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้แค่นั้นพอขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย :Facebook / The Eyes of My Mother = ภาพประกอบหน้าปก 1 / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6Pixabay / BeaTzJooDy = ภาพประกอบหน้าปก 2 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !