สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิว เรื่อง The House that jack built ออกฉายไปเมื่อปี 2018 แต่ที่ไทยไม่ได้ฉาย เพราะ มีฉากติดเรท 18+ เยอะมาก 18+ที่นี้ ไม่ใช่ฉากเซ็กส์ แต่ เป็นฉากฆ่ากัน บางฉากรุนแรงเกินที่เด็กจะดูได้ คือ อาจจะดูได้ แต่ต้องมีผู้ใหญ่ช่วยดู บอกกล่าว แนะนำด้วย แถมคำวิจารณ์แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ไม่ชอบ ก็เกลียดกันเลย แต่ผมชอบดี คือ ก่อนจะดูเรื่องนี้ มีการทำการบ้านมากก่อน ทั้งดูภาพโปสเตอร์หนังที่ออกแบบแหวกแนวดี โดยเฉพาะโปสเตอร์แต่ละตัวละครโคตรประหลาด คิดได้ไงเนี่ย ดูศิลปะแบบแปลก ๆ ดี ดูตัวอย่างหนังที่นำเสนอมาค่อนข้างดี และ ที่หายากที่สุด คือ การหาดูหนังแบบซับไทย ค้นหาอยู่นานมากทุกเว็บก็ไม่มีซับไทยเลย จนมาเจอเว็บนึงจำชื่อไม่ได้แล้ว มีเรื่องนี้ และ มีซับไทยด้วย ผมก็ดีใจสิ ไม่รอช้าคลิกเข้าไปดูเลยตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ที่นั่งดูผลงานของความโรคจิต ซาดิสม์ วิตถารที่นำเสนอให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกกระอักกระอ่วน และ หดหู่ คือสมแล้วที่ถูกแบนจากหลายประเทศ รวมทั้งไทยด้วย เพราะ ผู้กำกับชาวเดนมาร์กอย่าง Lars Von trier คนนี้มันบ้าของแท้ โรคจิตของจริง คือผลงานแต่ละเรื่องของแก อาทิ Antichrist ,2009 / Melancholia, 2011 ล้วนแสดงถึงความไม่ปกติของมนุษย์ทั้งนั้น อย่างที่ผมเคยดูล่าสุด เรื่อง Nymphomaniac Vol.1-2 (2013) นี้ จูบกระหน่ำ เซ็กซ์กระจาย เอาอะไรกันทั้งเรื่อง แต่เรื่อง The House that jack built นี้เปลี่ยนจากบ้าเซ็กซ์มาเป็นบ้าเลือด เสพย์ติดการฆ่าแทน แต่ทั้ง 2 นี้มันแฝงประเด็นทางสังคมโดยใช้ศิลปะเป็นสื่อนัยยะไว้เหมือนกัน สำหรับผม ผมชอบการเล่าเรื่องแบบแบ่งเป็น Chapter โดยแต่ละ Chapter ที่เป็นเรื่องราวที่พระเอกเจอกับเหยื่อแต่ละคน การฆ่าของตัวเอกนั้น มีการพัฒนา Skill ความคิด มุมมอง วิธีการโหดจากระดับเบสิค ค่อย ๆไต่ระดับไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นขีดสุด การลงมือสังหารเหยื่อแต่ละคนนั้นโหดสาหัสกันคนละแบบ ผ่านระบบการคิด คำนวณตามหลักการของพระเอกทั้งนั้น การฆ่าก็เหมือนกับการสร้างบ้าน ต้องมีการร่างโครง ส่วนประกอบต่าง ๆ การใช้วัสดุ เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อให้งานดี มีคุณภาพ สะอาดหมดจด ไร้ริ้วรอย เห็นแล้วเจ็บแทนทุกราย แต่การลงมือสังหารเหยื่อล้วนถูกเป็นเครื่องมือในการตอบสนองตัณหา ต่อผลงานทางศิลปะของตัวเอกที่หลงใหลจนกู่ไม่กลับ รวมถึงมองว่าเพศหญิงเปรียบเสมือนผู้อ่อนแอ เป็นผู้ถูกล่าย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ล่า เป็นวัฎจักรของธรรมชาติทั้งสิ้นดารานักแสดงในเรื่องรวมดารารุ่นเก่า มากฝีมืออยู่ ทั้ง Matt Dillon จาก There’s something about mary (1998) และ Crash (2004 ) , Uma Thurman จาก Kill Bill No.1-2 (2003-2004) , Bruno Ganz จาก Unknown (2011) , Riley keough จาก Mad Max : Fury Road (2015) เป็นต้น ผมว่าพระเอกนี้ที่รับบทโดย Matt Dillion เค้าแคสได้ถูกคนมาก เหมือนคนนี้มันแสดงท่าทาง แววตา อากัปกิริยาท่าทางเหมือนเป็นฆาตกรโรคจิตจริง ๆ มีอารมณ์ศิลปิน ฉลาดแกมโกง พูดเก่งหว่านล้อมจนสาวๆ หรือ ใครก็ตามที่เจอหน้ามันนี้หลงเคลิ้มไปกับเสน่ห์เชื่อได้อย่างเห็นได้ชัดประหนึ่งว่าเป็นตัวแทนขายประกันเลย ส่วนนักแสดงสมทบอื่นที่ได้กล่าวชื่อมา ไม่ว่าจะเป็น สาว ๆ ที่เป็นเหยื่อทั้ง Uma Thurman , Riey Keough รวมทั้งหลวงพ่อผู้ลึกลับที่แสดงโดย Bruno Ganz ทำหน้าที่ตนเองได้ดีเช่นกัน ถึงแม้ว่าช่วงเวลาของแต่ละคนจะมีเวลาจำกัดก็ตามที่ขัดใจก็คือเหยื่อแต่ละคนนี้อ่อนแอมาก ไม่รักตัวเอง คนนึงหาเรื่องใส่ตัวเอง คนนึงก็ไม่เฉลียวใจ คนนึงก็ซื่อ และ อีกคนก็มีโอกาสแต่ก็ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ คือ โผล่มาเพื่อโดนฆ่าโดยเฉพาะ แล้วที่หนักกว่าคือ ตำรวจ แทบไม่มีหน้าที่ของตนเองเลย คือ ทำไรอยู่ คนถูกฆ่าตายไปตั้งเยอะแล้ว แต่กลับไม่รู้ซะงั้นว่าเกิดอะไรขึ้น คือก็เข้าใจว่า ในเรื่องเกิดขึ้นยุค 70 เทคโนโลยี การสื่อสาร ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงปัจจุบัน การสืบสวน สอบสวนหาหลักฐานเพื่อสาวถึงคนร้ายนี้ใช้เวลามาก ทำงานลำบากด้วย สิ่งที่พึ่งได้จะมีบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานสำคัญเท่านั้น ที่เป็นเบาะแสหลักที่พึ่งพาหาหลักฐานสำคัญในพยานแวดล้อมที่มีข้อมูลสำคัญตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และ ความที่บุคลิกลักษณะของตัวเอกที่เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ช่างสังเกต ละเอียดรอบคอบ การลงมือจัดการแต่ละอย่างนี้มีความละเอียดมากกว่าอยู่แล้ว จึงเป็นข้อได้เปรียบในส่วนตรงนี้ไป หมูเลยงานนี้บางช่วงหนังดำเนินเนิบๆไปบ้าง ด้วยตัวหนังมีความยาวมาก ทำให้รายละเอียดตัวหนังมีเยอะเช่นกัน แถมยังปนในส่วนของงานภาพ การใส่ฉากหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับที่ยัดเข้าไปมากจนไม่ลื่นไหลในการเดินเรื่องหน่อย แต่ก็ยังมีปมวัยเด็กของตัวเอกใส่เข้ามาทำให้ดูมีน้ำหนักหน่อย รองรับเหตุผลว่าทำไมตัวเอกถึงเป็นคนอย่างนี้ แต่ใส่มาแปปเดียว มันก็แสดงให้เห็นว่าตัวเอกมันก็ยังเป็นมนุษย์ แม้จิตวิญญาณจะพุ่งทะยานไกลจากความเป็นคนมากขึ้นไปแล้วก็ตาม ยิ่งช่วงองค์สุดท้ายนี้แบบหลุดโลกเวอร์วัง ไม่ชอบเลย ส่วนฉากการฆ่าบางฉากที่ดูแล้วว่าโหดแน่ แต่ก็ตัดฉากไปเลย มันทำให้ลดความน่ากลัวลงหน่อย ซึ่งจินตนาการไว้ในสมองแล้วว่าเหยื่อคงจบไม่สวยแน่นอน ช่วงองค์สุดท้ายมันออกแนวแฟนตาซี เทพนิยายปรัมปราไปเลย งานโชว์ศิลปะใช้ภาษานามธรรมสูงจนงงว่าจะใส่เข้ามาทำไม พอดูไปแล้วความงงในงานอาร์ทสวย ๆ แล้วก็เข้าใจว่ามันเป็นน่าจะเป็นใจความสำคัญที่เป็นบทสรุปในเรื่องราวจากการกระทำทั้งหมดที่เชื่อมโยงในหลักเหตุและผลของกรรมนั่นเอง ซึ่งผมว่าฉากสุดท้ายนี้ถ้าตัดความเป็นศิลปะฟุ้มเฟื่อยนี้มันคือหนังสยองขวัญที่น่ากลัวเรื่องนึงเลยเสียดายแทน เนื่องจากหนังเรื่องนี้ถูกแบนแล้ว ยังถูกแบ่งแยกเป็น 2 อย่าง คือ ชอบ กับ ไม่ชอบ คนที่ชอบเรื่องนี้จะได้รับความโหด เลือดสาดแบบคัดเน้น ๆ เห็นจะ แถมได้รับความงามเพ้อฝันในงานศิลปะเป็นของแถม แต่ถ้าคนไม่ขอบนี้คือเกลียดไปเลย แล้วถามตัวเองว่านี่หนังอะไร ไม่เห็นมีสาระอะไรนอกจากฆ่าอย่างเดียว เสียเวลาดูชะมัด ทั้งนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับขอขอบคุณผู้สนับสนุนโดย :ภาพประกอบรีวิว : www.pinterest.com = รูปประกอบหน้าปกwww.impawards.com = รูปประกอบที่ 1www.imdb.com = รูปประกอบที่ 2 / รูปประกอบที่ 3 / รูปประกอบที่ 4 / รูปประกอบที่ 5 / รูปประกอบที่ 6 / รูปประกอบที่ 7 / รูปประกอบที่ 8ขอบขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ พบกันใหม่เรื่องหน้า สวัสดีครับ