The Trial of the Chicago 7 : สันติ อหิงสา รวมพลัง ประจัญบานสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 1968 เมื่อกลุ่มสมาชิกแกนนำประชาชนได้รวมตัวกันประท้วงรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไม่พอใจที่เกณฑ์ประชาชนเข้าไปร่วมรบที่เวียดนามเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการปะทะกันระหว่างฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ต่อมาทางเจ้าหน้าที่รัฐได้จับแกนนำในข้อหาร่วมกันยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงจนนำไปสู่การต่อสู้คดีความในชั้นศาลจนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวต่อหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกาตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 9 นาที ในภาพรวมสนุก ลุ้นระทึก น่าติดตามตั้งแต่ต้นเรื่องอย่างไม่ทันตั้งตัวไปจนจบ ชอบความเบ่งอีโก้ของแต่ละคนโดยเฉพาะเฮีย Sacha ทั้งกวนโอ๊ยและเท่ห์อย่างพอดี พอทำงานร่วมกันกับคนอื่นกลับสามัคคีกันไม่น่าเชื่อ บางช่วงดูอ่อนลงไปบ้าง แต่ยังเข้าที่เข้าทางใน Theme อยู่ ส่วน Timeline ในเรื่องจะดำเนินเรื่องในช่วงปี 1968 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในช่วงสงครามเวียตนามพอดีจะตัดสลับกับประเด็นทางสังคมอย่างเรื่องสิทธิมนุษยชนการเหยียดสีผิวเข้ามาเกี่ยวข้องทับซ้อนอยู่ในช่วงการประท้วงชุมนุม ขณะเดียวกันตัดฉากไปที่กลุ่มตัวเอกวางแผนการต่อสู้ทางคดีกัน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึ้นในศาลสลับวนไปทั้งเรื่อง มีแวะข้างทางใส่ Flashback ภาพเหตุการณ์จริงประกอบเสริมให้ดูสมจริงเป็นบางช่วง ดูแล้วไม่งงเท่าไหร่ พอจับ Keywords เข้าใจทางได้ แต่เน้นบทพูดซะส่วนใหญ่ ถ้าคนไม่ชอบมีหลับได้แน่นอน แม้เหตุการณ์ในเรื่องจะเกิดมานานหลายปีแต่หลายอย่างยังพูดถึงอยู่ในยุคปัจจุบัน แถมดันเข้ากับสถานการณ์การชุมนุมที่ร้อนระอุช่วงนี้พอดี มันเลยเข้าใจใน Inner ของบริบทได้ง่ายเป็นพิเศษ ถ้าค้นข้อมูลหาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงยุค 60 - 70 หรือ เหตุการณ์สงครามเวียดนาม เพิ่มเติมต่อจะเข้าใจอรรสรถมากขึ้นSounds ประกอบดนตรีช่วงแรกออกแนว Feel Good ผสมลูกกวนประสาทหน่อย ๆ แต่ช่วงหลัง เปลี่ยนโหมดเป็น Hardcore จริงจัง กระตุกอารมณ์ให้ลุกขึ้นกลายเป็นคนละเรื่องจนผมปรับอารมณ์ไม่ถูกเลย ข้อดีงามที่ยกย่องให้คือ ผู้กำกับ Aaron Sorkin มือเขียนบทจาก The social network (2010) และ Steve Jobs (2015) ก่อนจะก้าวมาเป็นผู้กำกับครั้งแรกจาก Molly Game's (2017) ควบทั้งเขียนบทเองด้วย ยังคงความเซียนในด้านการ Speech อยู่เช่นเคย แถมแกเป็นคนที่สร้างสรรค์บทได้เท่ห์ที่สุดคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ ให้ความสำคัญกับบทพูดแต่ละ Dialogue ทุกถ้อยทุกคำทุกรู้สึกฟังแล้ว คมคาย ลึกซึ้ง กินใจเหมือนนั่งดูเหล่าตัวละคร Speech ตอบโต้กันรัว ๆ ราวกับดูหนัง Action วินาศสันตะโร แต่เต็มไปด้วยสาระความรู้ ส่วนที่ติหน่อยคือ พาร์ท Drama แบนราบไปหน่อย ไม่ได้ปูความเป็นมาเลยว่าแต่ละคนมีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะเปิดเรื่องหนังมาถึงก็เริ่มภารกิจออกไปประท้วงทันที และก็สลับไปขึ้นศาลหมุนวนกันไปซะมากกว่าเรื่องนี้ถือว่ารวมดาวชายมากฝีมือของวงการก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเฮีย Eddie Redmayne จาก The theory of everything (2014), พรี่ Joseph Gordon Levitt จาก Inception (2010) , ลุง Mark Rylace จาก Bridge of Spies (2015), พรี่ Yahya Abdul-Mateen ll จาก Aquaman (2018), ป๋า Michael Keaton จาก Birdman (2014) หรือ ปู่ Frank Langella จาก Robot & Frank (2012) ทุกคนแสดงดี สมบทบาทตามที่ได้รับ แม้แต่ละคนจะมี Scene ออกหน้ากล้องมากน้อยต่างกันไปก็เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ขาดไปไม่ได้ซักคน แต่ที่มาเหนือเมฆจนผมคาดไม่ถึงคือเฮีย Sacha Baron Cohen จาก Borat 1-2 (2006,2020) แกพลิกบทที่เคยเล่นมาทั้งหมด ไม่คิดว่าแกจะแสดงบทนี้ได้ยอดเยี่ยม ฉายแสงกว่าใคร ถึงมีมุขตลกกวน ๆ แต่มีความเท่ห์จริงจังพร้อมท้าชนทุกเมื่อ ผมยอมรับเลย Scene ไหนมีเฮียแกนี้ Scene นั้นโดดเด่นขึ้นมาทันที น่าเสียดายคือเรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ไปตั้ง 6 สาขา เมื่อปี 2021 แต่ไม่ได้ซักรางวัลเลย ทั้ง ๆ ที่หนังมีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่แข็งแรงมาก ผมว่าคณะกรรมการใจร้ายมาก น่าจะให้ซักรางวัลหนึ่งปลอบใจกลับบ้านก็ยังดีสรุปเป็นหนัง Drama ประวัติศาสตร์อิงการเมืองน้ำดีที่เข้มข้นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด แม้ว่าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่บทสนทนาผ่านการเชือดเฉือนของวาทกรรมทางสังคมในพื้นที่ส่วนตัวอย่าง Office และ ศาลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราจะเห็นว่าตัวละครแต่ละคนมีวิธีการว่ากล่าวโต้ตอบกันยังไงให้สนุกเหมือนนั่งดูกีฬาชกมวย โดยส่วนตัวผมชอบเสพเหตุการณ์ช่วงยุค 60 - 70s อยู่แล้วจึงอินไปกับ Keywords ที่พ่นออกมาได้เข้าใจง่ายเป็นพิเศษ ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้ คือ การตั้งคำถามกับเหตุการณ์เหล่านี้ว่า มันคุ้มแล้วหรือกับสิ่งที่ทำไป ใครได้ประโยชน์จากสงคราม แต่ที่แน่ ๆ คือ ประชาชนได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากสิ่งที่รัฐทำไว้ แม้จะมีของกำนัลมาเยียวยาชดเชยทีหลัง แต่ถามว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไปมั้ย บางคนไปแล้วกลับมาปกติก็มี กลับมาพิการก็มี ที่เลวร้ายกว่าคือ บางคนไม่ได้กลับมาอีกเลย อีกอย่างประชาชนเขาเห็นปัญหาแล้วว่าการแทรกแซงประเทศอื่นทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของเรา ทำให้เกิดการสูญเสียต่อทรัพยากรมหาศาลโดยใช่เหตุ แถมเป็นการตัดโอกาสการใช้ชีวิตที่มีความสุขอีกด้วย ซึ่งเหตุการณ์นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องเสรีภาพของคนหนุ่มสาวยุคบุปผาชนในช่วงยุค 70 เป็นขึ้นมา อาทิเช่น เทศกาลงานดนตรี Woodstock ปี 1969 เป็นต้นอีกอย่าง คือ ความล้มเหลวในการแทรกแซงระบอบกฎหมายในหนังสารคดีเรื่องนี้ ที่เอื้อให้แก่ผู้มีอำนาจมากกว่าความยุติธรรม ประชาชนใช้สิทธิ์ประท้วงชุมนุมอย่างสันติ ก็ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ แถมกล่าวหาว่าทำให้เกิดความรุนแรง คุณต้องตระหนักก่อนว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ มีเสียงในการวิพากษ์พิจารณาได้เช่นกัน การปรับตัวคือสิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมดำรงชีวิตต่อไปข้างหน้า สิ่งที่ผิดก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย อะไรล้าสมัยก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ใช้เวลาที่เหลือในการเป็นที่ปรึกษา ให้ความรู้ ช่วย Support กันอย่างห่าง ๆ เพื่อให้ประเทศจะสามารถเดินไปในทิศทางที่ควรจะเป็นขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย : Facebook / The Trial of the Chicago 7 = ภาพประกอบหน้าปก 1 / ภาพประกอบหน้าปกที่ตัวอักษร 2Pixabay / stux = ภาพประกอบหน้าปก 3Facebook / The Trial of the Chicago 7 = ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !