- ตลอดระยะเวลาที่ล่อเข้าไป 2 ชั่วโมง 19 นาที ยอมรับว่าดูไม่รู้เรื่องแต่สนุกไปกับการเสียดสีวัฒนธรรมอเมริกันของมันเฉย แม้จะเป็นช่วงเวลาในการดูหนังที่ยาวนานมากจนแอบแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลา แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันสามารถทำหน้าที่ปั่นประสาทจนสับสนมึนงงไปกับบทได้อย่างแยบยล โดยเฉพาะการเลือกใช้ Location เบื้องหลังเป็นฉาก Hollywood ใน Los Angeles เหมือนย้อนไปอยู่ในยุค 50 - 60's ที่การจิกกัดความเป็น Pop Culture ผ่านยุคผ่านสมัยไปกับ บ้านเมือง (ทรงทาวน์เฮ้าส์ที่มีสีโทนเดียวกัน) / ผู้หญิง (ผมสีทอง แต่งหน้าจัด) / แฟชั่น (เครื่องแต่งกายสวย ๆ เครื่องประดับแพง ๆ ) หรือ สถานบันเทิง (ผับ,บาร์) สิ่งเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนความฟุ่มเฟือยของชนชั้น Elite ที่เห็นแก่ชื่อเสียง เงินทองได้เป็นอย่างดี ชนิดที่ว่าไหน ๆ มาถึงขั้นนี้แล้วก็ขยี้ให้สุดไปเลย น่าเสียดายที่ช่วงกลางเรื่องยืดเยื้อวนอ่าง เวิ่นเว้อจนไปบดบังส่วนที่ควรเล่าอย่างประเด็นการสืบสวนคดีคนหายที่ขาดความจริงจังเห็นได้ชัด ถ้าจะหาความสมเหตุสมผลในเรื่องล่ะแทบจะไม่มีอะไรให้สามารถจับประเด็นอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันได้เลย นอกจากความกาวของไอเดียเท่านั้น- อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ถ้าเปรียบเทียบกับอาหารก็เหมือนเอาวัตถุดิบที่มีอยู่ในตู้เย็น เช่น ขนม , ผัก , ผลไม้ และ นมมาผสมในเครื่องปั่นเข้าด้วยกัน พอกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่ารสชาติมันแปลก ๆ บอกไม่ถูกว่าจะออกรสไปทางไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน เพราะ ชีวิตประจำวันของพระเอกส่วนใหญ่วนเวียนแต่อยู่กับสุรา นารี ปลาปิ้งไปวัน ๆ เมื่ออิ่มหนำสำราญได้ที่ก็มีแรงในการวิ่งหานางเอกไปตามที่ต่าง ๆ โดยไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคืออะไรจนกว่าฤทธิ์ยาจะหมดลงแล้วกลับมาเติมใหม่ที่บ้านต่อ แล้วก็ออกไปตามหาต่อ ซึ่งทั้งเรื่องก็จะวน ๆ อยู่อย่างนี้ ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ มีตัวละครอื่นเข้ามาเพิ่มปมให้แกะรอยเพิ่มขึ้นทีละนิด เช่น ลูกสาวของมหาเศรษฐีที่ถูกฆาตกรรม หรือ ชายลึกลับแต่งชุดนักรบโรมัน แต่ก็มิได้นำพาอะไรต่อนอกจากให้ข้อมูลพระเอกแล้วก็แถความเป็น Fantasy เข้าไปเนียน ๆ แล้วหายไปแค่นั้น แถมออกข้างทางไปพอสมควรกับสิ่งที่ไม่จำเป็นจนถึงช่วงท้ายเรื่องที่เฉลยปมนี้รู้สึกเหวอและตะลึงอยู่ซักพักไม่คิดว่าจะหาทางสรุปแบบนี้รวมถึงงงกับตรรกะเหตุผลของตัวละครบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเท่าไหร่https://www.instagram.com/p/Bwcf5b6FVkP/- ยังดีที่ได้นักแสดงนำ อย่าง Andrew Garfield จาก The Social Network (2010) เป็นตัวชูโรงแบกรับไว้ทั้งเรื่องได้อยู่หมัด ทิ้งคราบไอ้แมงมุมมารับบทเป็นหนุ่มติสท์แตก คูล ๆ ได้เข้ากับบทอย่างลื่นไหลโดยไม่ห่วงหล่อใด ๆ ถ้าขาดตัวพระเอกไป รับรองแป๊กทันที ตัวละครอีกคนที่เป็นตัวแปรสำคัญอย่าง Riley Keough จาก Mad Max : Fury Road (2015) นางเอกของเรื่องมาเป็นรับเชิญตัวเปิดซะมากกว่า โผล่มาไม่กี่ฉากแต่เธอใช้เสน่ห์ ความสวยแบบสาววินเทจ ดึงดูดให้หนังมีความลึกลับและเย้ายวนยิ่งขึ้น ส่วนนักแสดงสมทบท่านอื่น เช่น Topher Grace จาก Spider Man 3 (2007) , Callie Hernandez จาก La La Land (2016) และ Jimmi Simpson จาก Herbie : Fully Loaded (2005) รับจ๊อบเหมือนร้อนเงิน รีบโผล่มาฉาก 2 ฉากเสร็จแล้วมารับค่าตัวกลับไป ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ สาว ๆ เรื่องนี้งานดีทุกคน เรียกว่าหลุดออกมาจากนิตยสาร playboy มาปรากฎยลโฉมให้พอได้กระชุ่มกระช่วยได้ไม่น้อย- ถ้าเทียบกับผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับ David Robert Mitchell อย่าง It Follow (2014) ยังมี Concept ที่ชัดเจนพอที่จะจับต้องได้กว่าเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง และอยู่ใน Way ที่กำหนดไว้ ถึงแม้ว่า Detail รายล้อมจะวางสะเปะสะปะจนเรารู้สึกว่ามันไม่ Smooth กันเลย ไม่ว่าในส่วน Comedy เอย Crime เอย หรือด้าน Mystery ก็ไปไม่สุดซักทาง อย่างน้อยก็สามารถเก็บ Details ของเสื้อผ้าหน้าผมยันสถานที่ได้ละเอียดครบถ้วน ถ้าไม่คิดในส่วนที่กล่าวไปเรื่องนี้จัดว่าทำหน้าที่ให้สนุก บันเทิง แพรวพราว สามารถยกระดับความตลกร้ายกวนประสาทจนสุดทางได้อย่างงดงาม ขณะเดียวกันมันก็ยังทำตัวเสเพลอินดี้ของมันไปเรื่อยเปื่อยเหมือนตัวพระเอกที่ทำตัวไร้แก่นสารไปวัน ๆ นั่นเอง ถ้าคนที่ชอบเสพงานอินดี้ค่าย A24 ชอบตีความในสิ่งที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง และ กล้าตั้งคำถามในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สงสัยกัน เรื่องนี้ถูกใจคุณแน่นอนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย : Facebook / UnderTheSilverLake = ภาพประกอบหน้าปก 1 / ภาพประกอบหน้าปก 2 / ภาพประกอบหน้าปก 3 / ภาพประกอบหน้าปก 4 / ภาพประกอบหน้าปก 5 / ภาพประกอบหน้าปกที่ตัวอักษร 6 / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 5 Instagram.com / underthesilverlake = ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !