สวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตของผมในอดีตในการเรียนภาษาอังกฤษ รวมถึงการเสียโอกาสที่เข้ามาในชีวิตเพราะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่สู้คนอื่น ๆ ไม่ได้ รวมทั้งการพัฒนาตัวเองหลังจากการสูญเสียโอกาสนั้นไป ก่อนอื่นต้องเล่าย้อนความไปในสมัยเด็ก ผมเองก็เป็นเด็กนักเรียนไทยทั่วไปเหมือนหลาย ๆ คนที่เรียนในโรงเรียนต่างจังหวัด เริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่การท่องตัว A ถึง Z ในช่วงอนุบาล หลังจากนั้นจึงเริ่มท่องจำคำศัพท์ เริ่มเรียนไวยากรณ์ เรียนการสนทนา เราก็เรียนไปแบบนี้ปีแล้วปีเล่า แต่ผมก็เป็นเหมือนกับเด็กไทยจำนวนมากที่เรียนเพราะต้องการจำเพื่อสอบมากกว่าที่จะนำมาใช้งานจริงรูปแบบการเรียนแบบนี้ติดตัวผมมาเรื่อย ๆ โดยแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย คือเข้าชั้นเรียน นั่งจดสิ่งที่ครูสอนในชั้นเรียน และก็จำสิ่งนั้นเข้าไปสอบ โดยที่เราไม่มีแม้แต่จุดหมายของการเรียน ว่าเราจะเรียนภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร ทั้งที่หลายครั้งครูผู้สอนก็คอยพร่ำบอกอยู่เสมอว่า เรียนภาษาอังกฤษไปพวกเธอได้ใช้อย่างแน่นอน แต่ถึงพูดไปเท่าไร นักเรียนหลายคนรวมถึงผมเองก็หาได้ใส่ใจกับการเรียนภาษาอังกฤษเหตุผลหลัก ๆ ที่บอกตัวเองคือ ตัวผมเองมองไม่เห็นถึงความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษที่เป็นรูปธรรมเลย รู้สึกไม่สนุกกับการเรียนวิชานี้ เริ่มเรียนแต่ละครั้งก็ด้วยบทสนทนาทักทายแบบเดิม ๆ ที่ไม่มีความเป็นธรรมชาติ จบคาบแบบไม่มีความรู้ใด ๆ เข้าสมอง ได้แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยจนหมดชั่วโมงเรียนและจดในสิ่งที่เก็งกันไว้ว่าน่าจะออกสอบ (ทุกวันนี้ก็ยังสงสัยตัวเองว่าผ่านระดับชั้นเรียนมาได้ยังไง ในเมื่อความสามารถด้านภาษาอังกฤษช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน) ชีวิตการเรียนก็ดำเนินไปจนผมจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 บททดสอบจริงมันเริ่มขึ้นเมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยผมสอบติดโควตาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยในฝันของผม แต่ปัญหาจากการไม่รู้ภาษาอังกฤษก็เริ่มตามมาหลอกหลอน เมื่อจำเป็นต้องลงเรียนวิชาภาษาอังกฤษโดยที่มีอาจารย์ประจำวิชาเป็นอาจารย์ชาวต่างชาติ ผมสารภาพเลยว่าตลอดทั้งคาบ ผมไม่รู้อะไรแม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่อย่างที่อาจารย์พูด ผมต้องมาถามทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนกับเพื่อนในชั้นเรียนเดียวกัน คาบแล้วคาบเล่าที่ผมเจอปัญหานี้ ยิ่งการที่โดนยิงคำถามในชั้นเรียนแล้วตอบไม่ได้ มันช่างทำให้ผมรุ้สึกว่าเราไร้ค่ามากและรู้สึกอายคนร่วมชั้นผมพยายามประคองตัวให้ผ่านพ้นเทอมไปได้ ด้วยเกรด D+ ซึ่งเกรดนี้มันสะท้อนความสามารถของเราจริงๆ อาจจะโชคดีอย่างหนึ่งตรงที่การเรียนของผมวิชาอื่น ๆ พอถูไถไปได้ เลยจบเทอมแบบไม่ต้องกังวลว่าจะโดนรีไทร์ การเรียนภาษาอังกฤษในเทอมถัด ๆ มาของผมโชคดีหน่อย ตรงที่อาจารย์ผู้สอนเป็นชาวไทยเลยพอจับสิ่งต่าง ๆ ที่เรียนในชั้นได้บ้างและเอาตัวรอดมาได้ในแต่ละเทอม แต่ก็ไม่ได้มีเกรดภาษาอังกฤษที่ดีนักในทางกลับกัน เมื่อผมเริ่มเรียนวิชาอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ ผมกลับทำได้ดีกว่ามาก แต่ละเทอมที่ผ่านไป ผมมีเกรดที่ดีมากในระดับที่น่าพอใจและมันยังช่วยดันเกรดเฉลี่ยให้สูงขึ้นไปด้วย จนกระทั่งโอกาสใหญ่สองครั้งได้เข้ามาและผมได้ตัดสินใจลองคว้ามัน โดยทุนแรกที่เข้ามาเป็นทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่มอบให้นักศึกษาชาวไทยไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นในระดับปริญญาโท ซึ่งการคัดเลือกนักศึกษาไม่มีอะไรมาก นอกจากการสัมภาษณ์เท่านั้น ในบรรดาคนที่เข้าร่วมสอบนั้นไม่มีใครสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ดังนั้นสิ่งที่จะใช้ชี้วัดแทนคือการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผลลัพธ์เป็นสิ่งที่ผู้อ่านน่าจะรู้ คือผมสอบไม่ติดทุนนี้ เพราะผมไม่สามารถตอบคำถามใดๆกับทางคณะกรรมการได้เลย ระหว่างการสัมภาษณ์ในหัวสมองผมมันว่างเปล่า โอกาสนั้นก็ได้หลุดลอยออกไป หลังจากนั้นไม่นานโอกาสครั้งที่สองก็ได้เข้ามา มีทุนรัฐบาลสวีเดนมอบให้ทางภาควิชาเพื่อหานักศึกษาไปศึกษาต่อที่นั่น โดยครั้งนี้ทางทุนได้กำหนดให้ผู้สมัครต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษมายื่น ไม่ว่าจะเป็น TOEFL หรือ IELTS ซึ่งประวัติศาสตร์ก็ดำเนินซ้ำรอยอีกครั้ง เมื่อคะแนนที่ได้ไม่เพียงพอสำหรับยื่นทุนไปการที่ไม่สามารถคว้าโอกาสใหญ่ทั้งสองครั้งที่เข้ามาได้ มันทำให้ผมเริ่มทบทวนตัวเองแล้วว่า "ตัวเราเองจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเหรอ" นับจากนั้นผมเริ่มฝึกฝนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ผมเริ่มพยายามดูโทรทัศน์ภาษาอังกฤษอย่าง NHK world BBC News หรือ Aljazeera แล้วพยายามจดคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ได้ยิน นอกจากนี้ผมพยายามหาสื่อสิ่งพิมพ์ที่เป็นภาษาอังกฤษอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตำราเรียน เพราะผมจับจุดได้ว่าหากเราเรียนภาษาอังกฤษจากเรื่องที่เราชอบ เราจะเข้าใจมันได้ดี ช่วงนั้นผมเริ่มหาข้อมูลข่าวสารในประเด็นที่ผมชอบเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับกีฬา ภาพยนตร์หรือเกม รวมทั้งการอ่านงานวิจัยภาษาอังกฤษที่แต่เดิมผมต้องใช้พจนานุกรมแปลทีละคำศัพท์ กว่าจะเสร็จเรื่องหนึ่งก็ใช้เวลานานนับสัปดาห์ จนเมื่อชำนาญมากขึ้นระยะเวลาที่ใช้แปลก็สั้นลงเรื่อย ๆ สิ่งที่ผมพยายามมันเริ่มออกดอกออกผล เมื่อโอกาสทางการศึกษาครั้งที่สามได้เข้ามา แม้ครั้งนี้เป็นทุนการศึกษาภายในประเทศ แต่ครั้งนี้ผมก็สามารถคว้าโอกาสนี้มาได้ ด้วยการสอบสัมภาษณ์ที่อาจจะมีการปนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยดีการพบเจอสิ่งที่ผิดหวังและสมหวังบ้าง ได้ผลักดันผมให้มีมุมมองใหม่กับการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะตอนนี้ผมเข้าใจถึงเป้าหมายการเรียนภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่แค่เอาไปแค่ใช้สอบ แต่มันคือการเรียนอย่างมีความสุขและรู้ว่าประโยชน์จริง ๆ นั้นคืออะไร ทุกวันนี้ผมไม่หันหน้าหนีกับโอกาสในการใช้ภาษาอังกฤษ พยายามใช้ให้ได้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็อยากฝากประสบการณ์ของผมไว้ให้ผู้อ่านทุกท่าน จะได้ไม่รู้ตัวช้าถึงความสำคัญของการเรียนภาษาอย่างผมเครดิตภาพ ภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5