การเดินทางของคนไทยในปัจจุบันเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว แตกต่างจากในอดีตที่การเดินทางแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความยากลำบาก เนื่องด้วยถนนหนทางยังไม่มี รวมถึงบริการขนส่งสาธารณะก็ยังไม่ตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตขณะนั้น จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบุกเบิกกิจการรถไฟขึ้นในประเทศไทย เรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮาของชาวสยามประเทศมากพอสมควร แต่ตอนนี้ บริการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ กลับได้รับความนิยมมากว่า เพราะหลายคนมองว่าการเดินทางโดยรถไฟมันช้าบ้าง เสียเวลาบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ไม่ปลอดภัยบ้าง ต่าง ๆ นานา เราก็เป็นคนนึงที่คิดแบบนั้น จนได้เห็น ได้อ่านรีวิวประสบการณ์การนั่งรถไฟของหลาย ๆ คน หลังจากนั้นความคิดเกี่ยวกับการนั่งรถไฟของเราก็เปลี่ยนไป จากที่ไม่กล้านั่ง กลับกลายเป็นความท้าทาย อยากลองสัมผัสการเดินทางโดยรถไฟสักครั้งในชีวิต จนทำให้เกิดประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ขึ้นมา ย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากสอบเสร็จ แน่นอนว่าก่อนจะปิดเทอม เราต้องผ่านมรสุมงานกันมาอย่างหนักหน่วงอีกเช่นเคย ช่วงปิดเทอมที่มีวันหยุดแค่ 1 สัปดาห์ ก็คงไปไหนไกล ๆ ไม่ค่อยได้ ระนองจึงเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางในครั้งนี้ (เราเรียนที่สงขลา) เอาล่ะ ครั้งนี้เราจะไม่พลาดอีก วางแผนดีมาก รัดกุมมาก แม้จะไม่ไปทะเล แต่ก็เช็คสภาพอากาศเรียบร้อย (รอบคอบเวอร์) เราตัดสินใจว่าจะเดินทางด้วยรถไฟ ใช่แล้ว คุณฟังไม่ผิดหรอก เราจะไปรถไฟกัน ด้วยเหตุผลหลัก ๆ 2 ประการคือ 1.ไม่ได้นั่งรถไฟนานแล้ว และ 2. คำครหาเกี่ยวกับรถไฟไทยมีมากมายเหลือเกิน จนเราอยากจะพิสูจน์ เมื่ออ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะงงว่า เป้าหมายคือระนอง แล้วจะเดินทางด้วยรถไฟ คำถามคือ ระนองมีรถไฟด้วยเหรอ? ขอตอบตรงนี้เลยว่า ไม่มีจ้า แต่เราจะนั่งไปลงชุมพรแทน (ผจญภัยเวอร์) เราจองตั๋วรถไฟผ่านเว็บไซต์เรียบร้อยตั้งแต่ยังสอบไม่เสร็จ จองไว้เพื่อเป็นกำลังใจในการสอบ แต่จริง ๆ ก็คือตัวสอบ แต่ใจไปเที่ยวแล้ว ง่าย ๆ ก็ตื่นเต้นแหละ คนมันไม่เคยไประนอง >< วันเดินทาง.... ด้วยความที่เราเรียนอยู่ อำเภอเมืองสงขลา ก็เลยต้องออกจากหอพักตั้งแต่เช้า (9.00 น.)เพื่อนั่งรถไปสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ เพราะในตั๋วบอกไว้ว่า รถไฟออก 14.45 น. เป็นรถเร็ว ยะลา-กรุงเทพฯ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ซึ่งแน่นอนว่าเราไปถึงก่อนบ่ายสอง ก็พอมีเวลาให้เดินเที่ยวชมรอบ ๆ สถานี และเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟ ถึงสถานนีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ฝากสัมภาระต่าง ๆ ก็เดินออกไปหาข้าวกิน ใกล้บ่ายสองเราก็เดินกลับมายังสถานีด้วยความตื่นเต้นที่จะได้นั่งรถไฟ แต่คุณลุงเจ้าหน้าที่บอกว่า “หัวรถจักรเสีย ทำให้รถไฟอาจล่าช้า ตอนนี้กำลังซ่อมอยู่ เที่ยวของหนูอาจจะได้ออกตอนห้าโมงเย็น” ตอนนั้นคิดในใจว่า แม่เจ้า! อวสานการนั่งรถไฟชมสองข้างทางยามบ่าย เมื่อรถไฟเลท เราก็กลับไปนั่งรอที่ KFC สาขาโรบินสัน ที่อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟ เรารู้สึกผิดหวัง และหงุดหงิดนิดหน่อยที่รถไฟมาช้า ครั้งนี้มันไม่ใช่ความผิดของเรา และมันก็ไม่ใช่ความผิดของใคร เพราะการที่หัวรถจักรเสียมันเป็นอุบัติเหตุ และไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น พอคิดแบบนี้แล้วบายใจ เราก็ออกไปเดินเล่นต่อ เพื่อฆ่าเวลา รอในโรบินสันจนเบื่อแล้ว ก็กลับมารอต่อที่สถานี เจอคุณป้าใจดีมาขายมะม่วง รอแล้ว รอเล่ารถไฟก็ยังไม่มา คนรอมันท้อใจ จนกระทั่งถึงเวลา 17.00 น. เสียงประกาศตามสายดังขึ้น และจบลง จากนั้นไม่นาน เสียงรถไฟก็แล่นเทียบสู่ชานชลา ขณะเดียวกันพ่อค้า แม่ค้าที่ขายของริมสถานี ต่างเตรียมพร้อมหิ้วตะกร้าน้ำดื่ม แบกถาดข้าวกล่อง เข็นรถเข็นเล็ก ๆ ที่มีข้าวเหนียวไก่ทอด รวมถึงกระติกน้ำแข็งที่ด้านในบรรจุผ้าเย็นไว้ เพื่อขึ้นไปขายบนรถไฟ ตรงนี้แหละมั้งที่เป็นเอกลักษณ์ และสีสันของการเดินทางโดยรถไฟที่ไม่สามารถหาได้จากการเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณธณะอื่น ๆ ตอนนี้เราเดินขึ้นไปยังโบกี้ตามตั๋ว และเดินหาที่นั่งเรื่อย ๆ ด้วยความเงอะงะ โชคดีที่ผู้โดยสารไม่เยอะ ความเงอะงะของเราจึงไม่รบกวนคนอื่น หลังจากเจอที่นั่งตามตั๋วเรียบร้อยแล้ว เราก็จัดแจงเก็บสัมภาระ แล้วเริ่มสำรวจผู้คนที่นั่งรอบข้าง เพื่อความปลอดภัย (ขอบอกว่า แม้จะอยากนั่งรถไฟ แต่ในใจก็ยังระแวง) นาฬิกาบอกเวลา 17.10 น. เสียงประกาศตามสายดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นนายสถานีเคาะระฆังดัง เก๊ง ๆ สองที พ่อค้า แม่ค้าที่ขายของอยู่บนรถไฟต่างทยอยเดินลงจากโบกี้ไปเรื่อย ๆ รถไฟขบวนนี้ก็เริ่มเคลื่อนที่ออกจากชานชลาอย่างช้า ๆ นำพาหลายชีวิตออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้น ก็มีเราอยู่ด้วย... เมื่อสิ้นเสียงประกาศตามสาย รถไฟก็เทียบชานชลา ได้ขึ้นรถไฟแล้วจ้า #ตื่นเต้น แน่นอนว่าการเดินทางสำหรับเรา คือ การเรียนรู้ และการเรียนรู้มักจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของเราเสมอ... สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เราได้เรียนรู้ว่า เราอาจจะผิดหวังที่รถไฟมาช้า แต่สิ่งที่เราคิดได้ในระหว่างรอ คือ คนที่ผิดหวังไม่ได้มีแค่เรา ยังมีเพื่อนร่วมขบวนคนอื่น ๆ ที่ต้องรอไปพร้อม ๆ กัน และที่สำคัญคือเราแค่ไปเที่ยว ไม่ได้มีกำหนดเวลาที่เป็นทางการ แต่เพื่อนร่วมขบวนคนอื่น ๆ ที่เขาต้องไปทำธุระล่ะเขาต้องร้อนใจกว่าเราหลายเท่า เพราะฉะนั้น เรายังโชคดีกว่าเพื่อนร่วมเดินทางอีกหลายคน เหนือสิ่งอื่นใด การนั่งรถไฟของเราก็ถือเป็นการปลดล็อคความกลัวจากคำครหาต่าง ๆ ที่เคยได้ยินมาตลอดเกือบทั้งชีวิต และสุดท้ายก็อยากบอกว่า การเดินทางโดยรถไฟ มันอาจจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น หากใครมีเวลา หรืออยากเดินทางแบบคลาสสิค เราว่า รถไฟ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะ ขอให้ทุกคนสนุกกับการเดินทาง ^^ และขอลาไปพร้อมกับภาพรถไฟที่ค่อย ๆ วิ่งออกจากชานชลา.... "รถไฟค่อย ๆ เคลื่อนออกจาชานชลาช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอันว่าการรอคอยของเราสิ้นสุดลง การเดินทางกำลังเริ่มต้นขึ้น บันทึกหน้าใหม่กำลังรอคอยการจรดปลายปากกาแห่งความทรงจำ...."